3 ทหารเสือไทยใน “เจ ลีก” ใครสอบผ่าน?
สิ่งที่เดินไปข้างหน้าไม่รอใคร และเหนือสิ่งอื่นใดบนโลกนี้ก็คือวันเวลา
เผลอเพียงนิดเดียวศึก “เจลีก 1” ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่นกำลังจะเดินทางเข้าสู่นัดที่ 8 หรือช่วงครึ่งทางของครึ่งฤดูกาลแรกในปี 2019 เข้าให้แล้ว
สถานการณ์ ณ ตอนนี้ เหลือเพียงจ่าฝูงอย่าง ฮิโรชิมะ ซานเฟรซเช่ อดีตต้นสังกัดของ ธีรศิลป์ แดงดา และรองจ่าฝูง เอฟซี โตเกียว เท่านั้นที่ยังสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น ส่วน ซางัน โทสึ ต้นสังกัดของ เฟอร์นานโด ตอร์เรส อยู่ในอันดับสุดท้ายของตาราง
แต่สำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทยหากพูดถึงฟุตบอลเจลีก 1 สิ่งที่น่าสนใจเหนือสิ่งอื่นใดก็คงจะต้องนึกถึงการได้ติดตามเอาใจช่วย 3 แข้งไทยที่ค้าแข้งอยู่ในลีกสูงสุดของแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ของ คอนซาโดเล ซัปโปโร, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ของ โออิตะ ทรินิตะ และธีราทร บุญมาทัน ของ โยโกฮามะ มารินอส
มาถึง ณ ขณะนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุด และได้โอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอก็คือ ชนาธิป สรงกระสินธ์
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการค้าแข้งบนเวทีลูกหนังแห่งนี้มากว่า 2 ขวบปี ทำให้ “ชนาคุง” ไร้ปัญหาในเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตหรือการเล่นฟุตบอลในญี่ปุ่น
แม้จะยังไร้ชื่อเป็นผู้ทำสกอร์ ทั้งที่จริง ๆ ควรมีไปแล้วหากผู้กำกับเส้นไม่ยกธงผิดฟ้องผู้ตัดสินว่าลูกที่เพลย์เมกเกอร์ดีกรีทีมชาติไทยสังหารเข้าไปในเกมที่ต้นสังกัดพบกับ ชิมิสึ เอสพัลส์ เป็นลูกล้ำหน้า แต่เจ้าตัวก็เป็นนักเตะคนสำคัญที่ คอนซาโดเล ซัปโปโร จะขาดไม่ได้ โดยได้ลงสนามเป็นตัวจริงตลอดทุกนัด และเพิ่งถูกเปลี่ยนตัวออกครั้งเดียวในนาทีสุดท้ายของเกมล่าสุดที่พบกับ เซเรโซ โอซากะ เท่านั้น
มิดฟิลด์เชิงสูงจากแดนสยามถือเป็นคีย์แมนคนสำคัญในเกมรุกของทีมภายใต้แท็คติคของยอดกุนซืออย่าง มิไฮโล เปโตรวิช ที่มักเน้นให้ “ชนาคุง” พยายามลากเลื้อยเลี้ยงบอลเพื่อสร้างเกมรุกให้กับทีม รวมทั้งทำลายเกมรับของคู่ต่อที่จะเข้ามารุมแย่งบอลอย่างน้อย 2-3 คน จนเปิดพื้นที่ในเกมรับของฝั่งตรงข้ามได้มากขึ้น
ซึ่งตลอด 7 เกมที่ผ่านมา “ชนาคุง” ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ผลงาน 2 แอซซิสต์สูงสุดของทีมเทีบเท่า ฮิโรกิ มิยาซาวะ ผู้เป็นกัปตัน ณ ขณะนี้ถือว่าสอบผ่านอย่างไร้ข้อกังขา
โดยเฉพาะแอซซิสต์ปลิดวิญญาณที่ไหลบอลใส่พานไปในจุดที่เหมาะที่ควรทั้งนำ้หนัก และทิศทางให้ มุซาชิ ซูซุกิ เพื่อนร่วมทีมหลุดเข้าไปยิงแบบไม่ต้องตกแต่งบอลให้เสียเวลาเป็นประตูออกนำให้ทีมในเกมที่พบกับ อุราวะ เรด ไดมอนด์ส คือผลงานชิ้นโบว์แดงระดับท็อปคลาสทีเดียว
คนต่อมาที่ทำผลงานได้ค่อนข้างน่าชื่นชมเลยทีเดียวคือ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์
อันที่จริง ก่อนเริ่มต้นฤดูกาล ฐิติพันธ์ คือคนที่น่าเป็นห่วงที่สุด เนื่องจากไม่มี “ประสบการณ์” ในการค้าแข้งในต่างแดนมาก่อน นั่นทำให้ต้องมาปรับตัวในการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด
มิหนำซ้ำยังต้องมาเจอกับรูปแบบการฝึกซ้อม และเล่นฟุตบอลของญี่ปุ่นที่แตกต่างจากเมืองไทย คือญี่ปุ่นจะเน้นการซ้อมแบบจริงจัง และมีวินัย รวมทั้งมีสปีดบอลที่รวดเร็ว และเน้นเกมเพรซซิ่งค่อนข้างมาก จึงทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทยเป็นห่วงว่า ฐิติพันธ์ จะต้องเจอบททดสอบที่หนักอึ้ง และอาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่จะปรับตัวเข้ากับฟุตบอลญี่ปุ่นได้
ทว่ามิดฟิลด์วัย 25 ปี กลับปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นได้อย่างรวดเร็ว และพิสูจน์ตัวเองในสนามได้อย่างยอดเยี่ยม
ด้วยความมุ่งมัน และทุ่มเทในการฝึกซ้อมจนสามารถเรียนรู้ และเข้าใจแท็คติคการเล่นของ กุนซือ โทโมฮิโระ คาตาโนะซากะ ได้เป็นอย่างดีจนได้รับคำชม และถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงทันทีในเกมนัดเปิดฤดูกาล ทั้งที่ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางที่คอยช่วยเกมรับ และเชื่อมเกมจากรับเป็นรุกนั้นมีผู้เล่นเชื้อสายแดนปลาดิบอยู่เอ่อล้นภายในทีม
ถึงแม้จะทำสกอร์ และสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูให้กับทีมไม่ได้ แต่นั่นคงไม่ใช่หน้าที่หลักของ ฐิติพันธ์ เพราะตำแหน่งของ ฐิติพันธ์ นั้นเสมือนคนที่ปิดทองหลังพระ เป็นผึ้งงานที่รับบทหนักในแดนกลางของทีม เสียมากกว่า
อนาคตของ ฐิติพันธ์ ถือว่าสดใสทีเดียวเมื่อเจ้าตัวได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงถึง 6 เกมติดต่อกันก่อนจะเป็นตัวสำรองในเกมล่าสุดที่พบกับ เวกัลตะ เซนได ซึ่งแม้จะไม่ถูกส่งลงสนาม แต่นั่นน่าจะเป็นไปตามแท็คติคของกุนซือ คาตาโนะซากะ
เพราะการได้เล่นในบ้าน และคู่แข่งนั้นเป็นทีมรองบ๊วยจึงอาจต้องการเล่นเกมรุกมากเป็นพิเศษเพื่อคว้า 3 คะแนนให้ได้มากกว่าบรรดาเกมก่อนหน้านี้ที่เจอกับทีมที่แข็งแกร่งกว่า จึงตัดสินใจพัก ฐิติพันธ์ ที่เด่นในการเล่นเกมรับไว้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งสำคัญสำหรับ ฐิติพันธ์ คือ การยืนระยะต่อจากนี้ เนื่องจากสไตล์การเล่นของเจ้าตัวที่ต้องวิ่งขึ้นลงตลอดเวลา บวกกับการกล้าได้กล้าเสียต้องเล่นเกมหนักมีการตัดเกมคู่ต่อสู้ตลอดจนเป็นเจ้าของสถิติใบเหลืองมากสุดในทีมที่ 2 ใบ ทำให้จำเป็นต้องใช้ร่างกาย และพละกำลังมหาศาล
ดังนั้นการรักษาสภาพร่างกายให้มีความฟิต และการระวังไ่ม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บ และยืนระยะลงเล่นได้อย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ท้ายสุดที่ดูจะน่าเป็นห่วงคือ ธีราทร บุญมาทัน
ในความเป็นจริง ธีราทร ถูกคาดหมายว่าจะสร้างผลงานในศึกเจลีก 1 ฤดูกาลนี้ได้ดีไม่แพ้ ชนาธิป เลยทีเดียว เนื่องจากเมื่อฤดูกาลก่อนแบ็คซ้ายวัย 29 ปีดีกรีทีมชาติไทยมีโอกาสได้ลงเล่นในศึกฟุตบอลลีกสูงสุดของแดนอาทิตย์อุทัยกับ วิซเซล โกเบ มาแล้ว แถมทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และได้ลงเล่นเคียงคู่กับยอดแข้งระดับโลกอย่าง อันเดรียส อิเนียสต้า และ ลูคัส โพดอสกี้ ด้วย
จึงทำให้แฟนบอลคาดว่าเจ้าตัวน่าจะมีประสบการณ์พอสมควร และไม่ต้องปรับตัวกับรูปแบบการเล่นของฟุตบอลญี่ปุ่นมากนัก
ทว่าในความเป็นจริง ธีราทร กลับ เจอ “ปัญหา” มากกว่าใคร เริ่มตั้งแต่ “โชคร้าย” ได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลเพียงไม่กี่สัปดาห์ทำให้ต้องพักถึง 3 สัปดาห์ พลาดโอกาสลงเล่นเกมเปิดสนาม และทำให้ต้องเสียตำแหน่งแบ็คซ้ายให้แก่ เรียว ทาคาโนะ เด็กปั้นของสโมสร
หลังจากผ่านไป 2 เกม เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเมื่อ เรียว ทาคาโนะ ได้รับบาดเจ็บ บวกกับความพยายามมุ่งมั่นในการฝึกซ้อม และทุ่มเทในการแข่งขันเกม ลูวาน คัพ ซึ่งเป็นเกมฟุตบอลถ้วยที่แต่ละทีมจะส่งผู้เล่นสำของ ลงสนามเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ ธีราทร ซื้อใจ อังเก พอสเตโคกลู กุนซือชาวออสเตรเลีย จนกลับมามีชื่อออกสตาร์ทในเกมเจลีกนัดที่ 3 และ 4 ที่พบกับ คาวาซากิ ฟรอนทาเล และ โออิตะ ทรินิตะ
แต่ด้วยแท็คติคที่กุนซือชาวออสเตรเลียมอบให้ ดูเหมือนจะทำให้ ธีราทร ต้องปรับตัวมากกว่าสมัยที่เล่นอยู่กับ วิซเซล โกเบ ซึ่ง รับผิดชอบในตำแหน่งแบ็คซ้ายเพียงอย่างเดียว แต่ที่ โยโกฮามะ มารินอส ดูเหมือน ธีราทร จะถูกวางแท็คติคให้เล่นเกมรุกด้วย โดยเมื่อทีมเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกบ่อยครั้งที่เจ้าตัวจะถูกหุบเข้าไปยืนในตำแหนห่งมิดฟิลด์เพื่อช่วยขึ้นเกมรุกให้กับทีม
ซึ่งแท็คติคดังกล่าวเหมือนยังไม่ลงตัวสำหรับเจ้าตัวทำให้ยังทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และบังเอิญเป็นจุดอ่อนในเกมรับให้คู่ต่อสู้เจาะเข้ามาทำประตูได้ในทั้ง 2 เกมที่ได้ลงสนามออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกในทั้ง 2 เกม
หลังจากเกมที่พบกับ โออิตะ ทรินิตะ ธีราทรมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองใน 2 เกมหลังจากนั้น และไม่มีชื่อในเกมลีกนัดล่าสุดด้วย ที่สำคัญคือ ณ ตอนนี้ พอสเตโคกลู ตัดสินใจปรับทีมด้วยการโยกเอา ริคุโตะ ฮิโรเสะ ที่เล่นแบ็คขวาตัวจริงไปยืนเป็นแบ็คซ้าย และเอา เคน มัตซึบาระ ตัวสำรองมาเล่นเป็นแบ็คขวาแทน
แถมทีมยังไปดึง ทาคุยะ วาดะ อดีตแบ็คขวาของ ฮิโรชิมะ ซานเฟรซเช่ รองแชมป์เมื่อฤดูกาลก่อนมาด้วย แถมมีชื่อบนม้านั่งสำรองแทนเลยด้วย ก็ยิ่งน่าจะทำให้ ธีราทร ต้องเผชิญอุปสรรค และบททดสอบครั้งสำคัญในการค้าแข้งบนแผ่นดินญี่ปุ่นเลยทีเดียว
แม้ ณ ขณะนี้สถานการณ์ของแข้งสายเลือดสยามทั้ง 3 คน ดูจะ “สว่างไสว” และ “หม่นหมอง” แตกต่างกันไป แต่สำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทยเชื่อเหลือเกินว่าอย่างไรก็จะต้องเอาใจช่วยดาวเตะเลือดเนื้อเชื้อไขชาวไทยให้ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกๆสัปดาห์
และในสุดสัปดาห์นี้ฟุตบอลลีกสูงสุดแห่งแดนอาทิตย์อุทัยจะลงสนามันเป็นเกมที่ 8 ซึ่งสำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทย ไฮไลท์สำคัญคงเป็นเกมอื่นใดไปไม่ได้เลยนอกจากเกมที่ คอนซาโดเล ซัปโปโร ของ ชนาธิป จะเปิดบ้านต้อนรับ โยโกฮามะ มารินอส ต้นสังกัดของ ธีราทร
เกมที่แข้งสายเลือดสยามมีอันต้องมาเผชิญหน้ากันในศึกเจลีก 1 นั้น มักจะเป็นเกมที่สนุก มีสถิติต่างๆเกิดขึ้นให้เป็นที่บันทึกในประวัติศาสตร์ลูกหนังไทย เช่มเกมเปิดฤดูกาลที่แล้วที่ ฮิโรชิมะ ซานเฟรซเช่ ของ ธีรศิลป์ แดงดา พบกับ คอนซาโดเล ซัปโปโร ของชนาธิป ที่มีประตูประวัติศาสตร์ของ ธีรศิลป์ เกิดขึ้น
หรืออย่างเช่นเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนที่ คอนซาโดเล ซัปโปโร เปิดบ้านแพ้ 1-2 กับ โออิตะ ทรินิตะ ที่เป็นการดวลกันระหว่าง 2 เพื่อนซี้ซุปตาร์ลูกหนังจากแดนสยามที่เติบโตมาในถนนสายลูกหนังพร้อม ๆ กันอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ของ คอนซาโดเล ซัปโปโร กับ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ของ โออิตะ ทรินิตะ
ซึ่งการปะทะกันในสนามของ ชนาธิป และ ฐิติพันธ์ ที่ “ตำแหน่ง” การเล่นทำให้ต้องไล่บี้ไล่กวดกันตลอดกว่า 70 นาทีที่ได้ดวลกันในสนาม ก่อนที่ ฐิติพันธ์ จะถูกเปลี่ยนตัวออกไปหลังทำหน้าที่ได้สุดยอดแต่ติดใบเหลือง ถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจจนไม่อาจละสายตาจากเกมการแข่งขันไปได้
โดยเกมนี้ที่ คอนซาโดเล ซัปโปโร จะเปิดบ้านต้อนรับ โยโกฮามะ มารินอส นั้นมีสิ่งที่น่าติดตามคือ “ประตูแรก” ของชนาธิป สงกระสินธุ์ จะเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งถ้าหากทำได้มันก็น่าจะเป็นการปลอล็อคให้กับเจ้าตัวได้สำเร็จเพราะเหลือเพียงการทำสกอร์เท่านั้นที่เจ้าตัวยังทำไม่ได้ในฤดูกาลนี้
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าติดตามก็คือโอกาสในการลงสนามของ ธีราทร ซึ่งกำลังใจจากแฟนบอลทุกคนจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้กับแบ็คซ้ายทีมชาติไทยในการต่อสู้บนเส้นทางลูกหนังครั้งนี้
สำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทยสามารถติดตามรับชมเกมระหว่าง คอนซาโดเล ซัปโปโร กับ โยโกฮามะ มารินอส ได้ทาง “ทรูสปอร์ต เอชดี 2” ทรูวิชันส์ ช่อง 667 เวลา 11.00 น. หรือรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://bit.ly/2GteF32
แก้ไขล่าสุดโดย Narueta เมื่อ Fri Apr 19, 2019 18:56, ทั้งหมด 4 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ