คมชัดลึก | พรรคใหม่ หรือ พรรคเก่า ล้วนมอมเมาประชาชน

พูดยากแฮะ

ประเด็นใหญ่ คุณไม่พูดถึงเลย ว่าก็ทุกวัันนี้ คสช มันก็มอมเมาประชาชนเหมือนกัน อะไรที่ด่านักการเมืองไว้ คสชก็ทำเหมือนกัน เเต่ที่สำคัญคือ กลุ่มคนเหล่านี้มันมาในวิธีทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายสะด้วย จะบอกว่าหนักกว่านักการเมืองเสียด้วยซ้ำ

การแทรกแทรงจาก Invisible Hands มันเยอะ

คนนี้เคยสอนผมตอน ป.ตรี แต่ยังไม่เคยดฟุรายการนี้ ผมชอบแกนะ เดี๋ยวลองกลับไปฟัง

ก็นั่นล่ะ เศรษฐกิจโลกมันขาลงมาสักพักแล้ว .. ยุโรปก็มีแต่ข่าวขายกิจการให้จีน,ควบรวมกิจกการ, ปลดคนงาน ฯลฯ

แต่ทุกพรรคฯ บอกว่าเลือกฉันสิ แล้วเศรษฐกิจจะดีกว่าทุกวันนี้แน่นอน ..?

ผ่านมาเกือบเดือน ตั้งแต่เปิดให้การเมืองเข้าสู่บอร์ด ที่เชื่อมั่นใน ดร.สมคิด ก็มีแค่ไม่กี่ user

แต่ขุนพลคนนี้มองเห็นโอกาส และพลิกจาก gdp 3% ขึ้นมา 4%ในปีที่แล้ว ในขณะที่ทั่วโลกเผชิญพิษเศรษฐกิจผันผวน และประสบภัยพิบัติ, สงคราม ฯลฯ

จนเป็นข่าว ดร.หัวร้อน เพราะโดนคนไม่รู้จักเศรษฐกิจดีพอ มาด่า ,อวดอ้างว่าทำได้ดีกว่า ทั้งที่ ดร.เค้าทุ่มเท ปรับผังยกแผง ไล่ทีมงานเก่า หม่อมอุ๋ย และผู้ตรวจการ ไปนั่งพักทั้ง 2คน แล้วลงมือสางระบบเศรษฐกิจด้วยตัวเอง

นโยบายปีหน้า บางพรรคประกาศจะพักชำระหนี้เกษตรกร xปี พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มกำลังการใช้จ่าย มันก็จะกลายเป็นหนี้สะสมต่อครัวเรือนที่สูงเป็นสถิติใหม่

ชม.นี้ คนที่มีความสามารถสูสี ในสายตามีเพียงคุณกรณ์ ที่อาจเป็นไปได้ .. นอกนั้นเหมือนโม้ให้ฟังเฉยๆ ผมก็เลยไม่ได้สนใจติดตามอะไร

อยากรู้ว่าสภาวะตอนนี้ ถ้าเอาประชานิยมออกหมด แล้วเริ่มใช้หนี้ เศรษฐกิจจะฝืดขนาดไหน
ตอนนี้หนี้ท่วมหัวละ แต่ทุกคนก็เดินหน้าแจก ทุกพรรคออกนโยบายหาเงินน้อยลง สร้างรายจ่ายมากขึ้น สุดท้ายเราจะไปรอดไหม

ปล.
ผมขอค้านนโยบายลดภาษีต่างๆของทุกพรรคด้วย
เข้าใจแหละว่าการใช้จ่ายในประเทศทำให้ได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม
แต่บ้านเราระบบภาษีมูลค่าเพิ่มนี่ต้องใช้คำว่าแหแทนตะแกรง เพราะรูรั่วเยอะมาก

ยกตัวอย่างนโยบายลดภาษีกองทุนน้ำมันของพรรคเศรษฐกิจใหม่ละกัน
ภายใต้เงื่อนไขว่า
- สมมุติว่ายกเลิกกองทุนน้ำมัน ทำให้คนจ่ายเงินน้อยลง 1 บาท/ลิตร
- สมมมุติให้คนรายได้ 300 บาท/วัน ใช้น้ำมันวันละ 1 ลิตร
สรุปจากสมมุติฐานด้านบนปีนึง คนรายได้300 บาท/วัน จะเหลือเงินมากขึ้น 365 บาท/ปี
ถ้านำเงินที่เหลือไปซื้อของที่ตลาด 265 บาท(ตลาดไม่มีระบบจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ 100 บาท(ได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม7บาท)
เท่ากับรัฐจัดเก็บภาษีได้ 7 บาท/ปี แลกกับการสูญเสียรายได้ในกองทุนน้ำมัน365บาท/ปี

มองการเมือง ถ้ามองอย่างเป็นกลาง ทุกฝ่ายก็มีข้อดีข้อเสียกันทั้งหมด แต่ถ้ามองแบบเข้าข้างฝ่ายไหน ตั้งอคติกับอีกฝ่าย ยังไงก็มองไม่เห็น เห็นก็แต่ข้อเสียของฝ่ายอื่น ข้อดีของฝ่ายตัวเอง

GDP เพิ่ม แต่มันกระจุกตัวครับ ประชากรระดับรากหญ้าจะจนลง แปลว่า GDPที่สูงขึ้น คือไปเพิ่มให้กลุ่มทุนผูกขาด อันนี้ที่ผมเข้าใจนะครับ

งงกับคำถาม และไม่ได้ติดตามนโยบายคุณมิ่งขวัญ

1. ยกเลิกกองทุนน้ำมัน ทำให้คนจ่ายค่าน้ำมัน(ในตอนนี้) ถูกลง 1 บาท

ในอนาคตเกิดวิกฤติ ราคาน้ำมันดีดสูงขึ้น แบบกระโดด หากเราไม่มี กองทุนน้ำมัน ที่ทำหน้าที่เป็นฟองน้ำคอยรองรับแรงกระแทกของเศรษฐกิจผันผวน

หากราคาน้ำมัน กระโดดขึ้น 3บาท/ลิตร กลไก logistics ก็จะผลักต้นทุนสินค้าให้สูงขึ้น ชิ้นละ 1บาท

หากคุณไปเดิน 7/11 ซื้อของ 10ชิ้น
บางชิ้นอาจแบกรับต้นทุนไม่ขึ้นราคา แต่ถ้ารวมทุกชิ้นในตระกร้า อย่างน้อยๆก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 5บาท+ ในการซื้อสินค้าวันนั้น

1เดือนผ่านไป วิกฤติบรรเทาลง ราคาน้ำมันปรับลง สินค้าราคาเท่าเดิม ผู้ผลิดสินค้าได้กำไรเพิ่ม คุณก็ต้องจ่ายเพิ่ม 5บาท+ ไปจนกว่าจะถึงวิกฤติน้ำมันครั้งต่อไป

อันนี้คือประโยชน์ของกองทุนนั้นมัน!

ข้อ 2 ไม่เข้าใจ คือรายได้ 300+300 =600 งั้นเหรอ?
เพราะไม่เคยได้รู้ นโยบายคุณมิ่งขวัญ มาก่อน ..

GDP เพิ่มจากพวกคนรวย แต่ลดจากคนทั่วๆไป
ซึ่งคนรวยมันทำให้ gdp เพิ่มได้มากกว่าคนจนที่เสียไป
ก็ประมาณนี้แหละครับ

มันก็พูดยากอีก
คนจนรวยขึ้น คนโคตรรวยจนลง มันก็ไม่โอเค
คนจนไม่รวย คนโคตรรวย รวยขึ้น มันก็ไม่โอเค
คนจนรวย คนรวยรวย มันถึงโอเค แต่มันเป็นไปแทบไม่ได้

ประเทศเราอาจจะต้องมีอัพเดทผู้ประกอบการ ผู้เพาะปลูก เพื่อป้องกันราคาสินค้า ทั้งเกษตร และการแข่งขันของ sme ก็เป็นได้

อย่างภาคเกษตร
สมัยก่อน ข้าวแพง แห่ปลูกข้าว แล้วก็ข้าวถูก
พอยางแพง ก็แห่ปลูกยาง จนยางถูก
พอมันแพง ก็แห่ปลูกมัน จนมันถูก

มันห้ามคนปลูกไม่ได้หรอก
แต่มันเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ไขได้ แต่ต้องใช้กำลัง ความพยายาม และทุนสูง
sme ทั่วๆไปก็ได้
ชานมไข่มุกบูม แห่เปิดร้านชานมไข่มุกตามหลัง แล้วก็เปิดตอนช่วงที่ซาแล้ว เจ๊งตามระเบียบ

มีช่วงนึงก็ชีส

ผมไม่ได้มีความรู้อะไรเท่าไรหรอก แค่คนที่จบเศรษฐศาสตร์คนนึงแค่นั้นเอง
ภาครัฐช่วยได้ แต่แก้ไม่ได้
ภาครัฐช่วยแนะให้ประชาชนแก้ไขเองได้
ภาครัฐช่วยป้องกันผลร้ายที่จะเกิดแก่ระบบเศรษฐกิจในบางส่วนได้

ภาครัฐทำให้ธุรกิจของเอกชนส่วนใหญ่เดินหน้าต่อไปได้
แต่ภาครัฐไม่สามารถทำให้ประชาชนทุกคนรวยไปพร้อมๆกันได้
ยกเว้นภาครัฐทำให้กำลังซื้อ (SUPPLY) มีมากสุดๆ และเพียงพอต่อทุกธุรกิจ ทุกสินค้า


ปล.ความเหลื่อมล้ำของเรา TOP ของโลกนะครับ รวยก็รวยไปจนก็โคตรจน
เคยสัมภาษณ์เกษตรกร ปีนึงได้รายได้ไม่กี่พัน เห็นแล้วจะร้องไห้ ทำยังไงก็จน

พวกพ่อค้าคนกลาง รวยเอาๆ เจ้าของโรงงาน รวยขึ้นๆ

อย่างที่ธนาธรพูด เปลี่ยนเป็นผู้แปรรูป เป็นสิ่งที่ควรทำมากๆ
ไม่ใช่รัฐให้ otop ร้างตามใต้ทางด่วนด้วยนะ

ให้ทุกพื้นที่มีจุดแปรรูป ควบคุมโดยใครสักคน เอาผลผลิตไปทำ อาจจะแปรรูปฟรีไปสักระยะ เงินขายได้เอาไปสร้างเนื้อสร้างตัวแล้วมาลงทุนในโรงงานนี้ กลายเป็นเจ้าของคืนก็ได้

ซ้ำครับ ลบ

อันบนผมยกตัวอย่างนโยบายลดภาษีกองทุนน้ำมัน(ซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุผลอย่างที่คุณว่ามาอะแหละ)
ภายใต้เงื่อนไขที่สมมุติขึ้นมา 2 ข้อ จากเงื่อนไขที่ผมสมมุติขึ้น
ผมสรุปคร่าวๆว่าคนที่มีรายได้วันละ 300 บาท/วัน มีรายจ่ายลดลงวันละ 1 บาท ทำให้มีเงินเหลือมากขึ้น 365 บาท/ปี
เงินที่เหลือนี้ถ้าเค้าทำเงินไปซื้อของที่ตลาด 265 บาท(ซึ่งไม่มีระบบจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม) และซื้อของในร้านสะดวกซื้อ 100 บาท(ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้=7บาท)
เท่ากับว่าปีๆนึงรัฐเสียเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 300บาท/ปี เพื่อแลกกับจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 7 บาท/ปี

ที่ยกตัวอย่างมาเพราะอยากจะแย้งคนที่คิดว่า การลดภาษีบางอย่างรัฐจะได้เงินคืนจากภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างคุ้มค่า
เพราะในความเป็นจริงมันได้กลับคืนมาเพิ่มไม่กี่%เท่านั้น
จริงๆผมอยากเทียบไปยังการลดภาษีตัวอื่นๆที่หลายพรรคเสนอด้วย แต่ยกตัวอย่างกองทุนน้ำมันน่าจะชัดเจนที่สุด
เพราะนอกจากรัฐจะเสียรายได้มหาศาลแล้ว ผมยังเชื่อว่ากองทุนน้ำมันยังชะลอการขยายตัวของเงินเฟ้อได้นิดหน่อยด้วย

ณ จุดนี้ ตอบได้เพียงว่า .. พวกเขาเลือกที่จะเป็นคนจน ด้วยตัวเอง
เพราะคนจน สามารถมีสิทธิพิเศษเหนือคนชั้นกลางเสียอีก ไม่ต้องเสียภาษี ไม่โดนตรวจสอบที่มาของรายได้ และได้รับเงินช่วยเหลือเป็นระยะๆ

ปลูกข้าวนาปรัง โดยที่ รัฐฯประกาศว่าประสบภัยแล้งในฤดูกาลนี้..
พอทุกคนในพื้นที่ งดการปลูกข้าวนาปรัง, ก็คิดว่าตนเองฉลาดกว่าคนอื่น .. ไหนๆ ผู้คนก็งดเพาะปลูก ทั่วทั้งตำบล-จังหวัดกันไปหมดแล้ว เราจะแอบปลูก 1/10 จากทั้งหมด 10ไร่ในครอบครอง ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ?

พอเจ๊ง ! ข้าวขาดน้ำก็ประท้วง เรียกร้องเงินเยียวยาชดเชย

https://www.moac.go.th/about-important_polcy

link ด้านบน เป็นนโยบายส่งเสริมเกษตรกร ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ หรือถ้าอ่านหนังสือไม่ออก ก็มี call center 1170
นี่ยังไม่รวมโครงการหลวง, โครงการตามประราชดำริ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ อีก 20โครงการ+ ทั่วประเทศ

ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลไหนก็ไม่สามารถไปจับมือบังคับเกษตรกรเพื่อเพาะปลูกได้
การที่พวกเขาเลือกทำในสิ่งที่พวกเขานั้นต้องการ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เหมือนพวก homeless ในประเทศที่มีรัฐสวัสดิการที่ดีในยุโรปนั่นล่ะ
.. หลายคนก็เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบ homeless เพราะมีสวัสดิการที่ดีคอยรองรับ