นักเตะเทศบาล
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Feb 2016
ตอบ: 3203
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Mar 19, 2019 04:02
Blind Trust ธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ vs กรณ์ จาติกวณิช
กรณีที่ธนาธรเเถลงการเรื่อง โอนทรัพย์สินให้ “บลจ.ภัทร” บริหาร-งดซื้อหุ้นไทยทุกตัวแสดงความโปร่งใส ซึ่งประธานบริษัทหลักทรัพย์ คือ คุณ บรรยง พงษ์พานิช เเกเคยพูดเรื่องทุนนิยมไว้ใน Ted Talk
มาเข้าประเด็น กรณี ธนาธรเเถลงการ เรื่อง Blind Trust เสร็จคุณ กรณ์ก็ออกมาท้วงติงทันที
จากหลากหลายความคิดเห็นที่เสนอเข้ามา ผมเลยขออธิบายความกังวลผมเพิ่มเติมตอนท้ายครับ...
ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้
จากการแถลงข่าวเรื่อง ‘blind trust’ ของคุณธนาธร ทำให้มีสื่อบางรายได้ทักท้วง สรุปความได้ว่า การอ้างว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการทำเช่นนี้ เป็นการอ้างไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เคยมีนักการเมืองอีกหลายท่าน รวมทั้งผมด้วย เคยทำเช่นนี้มาก่อนแล้ว..
ผมขอชี้แจงตามนี้ว่า
1. “Blind Trust” ยังไม่มีจริงในประเทศไทย เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะฉะนั้นที่คุณธนาธรลงนามไปนั้น ไม่ใช่ blind trust และไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
2. คุณธนาธรได้โอนทรัพย์สินให้สถาบันการเงินดูแล อันนี้หลายคนน่าจะเคยทำเหมือนกัน ผมก็เคยและวันนี้ก็ยังมีอยู่ โดยที่ผมก็ได้ลงนามสัญญาให้เขาบริหารโดยอิสระเช่นเดียวกัน
3. ผมเองเคยมี Trust อยู่ที่ต่างประเทศ และรายงานรายละเอียดทั้งหมดกับ ปปช. ตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องการรายงานบัญชีทรัพย์สิน
4. แต่หลายปีมาแล้วผมได้ตัดสินใจทำสวนทางกับที่คุณธนาธรพยายามที่จะทำ คือผมยกเลิก Trust ที่มีอยู่ เพราะผมคิดว่าความโปร่งใสสำคัญกว่า ผมคิดว่าประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในสิ่งที่คุณธนาธรได้ประกาศวันนี้ ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนแรกหรือไม่ แต่ที่ท่านบอกว่าทรัพย์สินที่ท่านโอนไปนี้จะ ‘มองไม่เห็น’ เพราะเมื่อทุกคนบอดสนิทกับข้อเท็จจริงว่าท่านมีทรัพย์สินอะไรบ้าง การตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจะเกิดขึ้นไม่ได้
จริงๆแล้ววิธีที่ชัดเจนที่สุดที่จะปลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนคือการขายขาด (แต่อย่าขายให้ nominee กันอีกนะครับ)
แต่หากไม่ขาย ผมว่าที่ดีที่สุดคือเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่าเรามีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ และที่ไม่ควรคือการโอนเข้าไปในที่ๆ ‘มองไม่เห็น’
***ความเห็นเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน: หลายคนบอกว่ายังไงๆก็ต้องเห็นว่าลงทุนในอะไรบ้าง เพราะต้องรายงาน ปปช. ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ควรจะอ้างว่า ‘มองไม่เห็น’ ครับ มันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง
.
ส่วนการจัดตั้ง Blind Trust นั้นช่วยแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นหรือไม่ ผมคิดว่าช่วยได้จริงครับ แต่ต้องเปิดให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา คือพูดง่ายๆ ต้อง ‘เห็น’ และมีความโปร่งใสตลอดเวลา ซึ่งปัญหาก็ยังจะมีอยู่ว่าเมื่อผู้มีอำนาจที่เป็นเจ้าของกองทุน ‘เห็น’ แล้ว เขาก็สามารถเอื้อต่อทรัพย์สินของเขาได้อยู่ดี แต่อย่างน้อยเราติดตามและตรวจสอบได้
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ประชาธิปัตย์เพิ่งแถลงไปว่านักการเมืองทุกคนควร ‘เปิดเผยผลประโยชน์ที่ตนและทุกคนในครอบครัวมี’ และไม่ควรทำอะไที่ทำให้คน ‘ไม่เห็น’ ครับ
ส่วนโพสต์ที่ลบออกไปบ้างเป็นเพราะหยาบคายและไม่อยู่ในประเด็นครับ ความเห็นต่างที่สุภาพและอยู่ในประเด็นผมเปิดให้ได้อ่านโดยทุกคน
CR : korn chatikavanij
โดยพอฟังสรุปส่วนตัวผมก็เชื่อคุณกรณ์ทันทีเพราะไม่มีความรู้เรื่องการเงิน ซึ่งจากนั้นไม่นาน คุณ สฤณี อาชวานันทกุล เป็นนักเขียน นักแปล จบตรี ฮาวาร์ด เเละ ปริญญาโท มหาลัยนิวยอร์ค ทำงานด้านการเงิน 8 ปี ที่ธนาคาร ดอยซ์ฮ่องกง รองผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพานิช ซึ่ง เธอได้ให้ความเห็น เรื่อง การจัดการป้องกันการประโยชน์ทับซ้อนของ ธนาธร ก่อนจะออกมาตอบโต้ คุณกรณ์ จนได้ข้อมูลเชิงลึกที่คุณกรณ์อาจจะบอกไม่หมดจากข้อความข้างต้น
repost เพราะหลายคนบอกว่ากดแชร์แล้วไม่ไปค่ะ]
ไม่คิดจะเขียนเรื่องนี้อีกแล้วนะคะ แต่พอดีได้คำถามหลังไมค์มารัวๆ หลายอัน เลยคิดว่าตอบทีเดียวเป็นสาธารณะดีกว่า ก่อนจะมีมาอีก 55
ความเห็นต่อโพสของคุณกรณ์ (ดูได้ในเพจ KornChatikavanijDP) ต่อกรณี blind trust คุณธนาธร
1. ในฐานะนักการเงิน คุณกรณ์ย่อมเข้าใจดีว่า blind trust คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ทำงานแบบไหนในต่างประเทศ การนำคำว่า "มองไม่เห็น" มาเล่น บิดคำให้กลายเป็นเท่ากับหมายความว่า "ตรวจสอบไม่ได้" จึงไม่ถูกต้อง เพราะ blind ในคำว่า blind trust ไม่ใช่แปลว่าตรวจสอบไม่ได้ คำว่า "มองไม่เห็น" แปลตรงตัวว่า เจ้าของทรัพย์สินไม่มีสิทธิมองเห็นหรือบงการการจัดการทรัพย์สินใดๆ เท่านั้น
2. ไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ blind trust ก็จริง แต่คุณธนาธรก็ได้แสดงความประสงค์ชัดเจนแล้วใน MOU ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะว่า จะสร้างเงื่อนไขแบบ blind trust ขึ้นมาในสัญญาบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล
3. blind trust ที่คุณธนาธรตั้งในครั้งนี้ เป็นการทำสัญญากับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนสัญชาติไทย อยู่ในรูปกองทุนส่วนบุคคล (private fund) ในเมืองไทย ซึ่งต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ทุกประการ ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ไม่ใช่ trust ที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ (แบบที่คุณกรณ์โพสว่าเคยทำ) และในเมื่อคุณธนาธรยังคงเป็นเจ้าของทรัพย์สิน (กองทุนเพียงแต่รับมอบอำนาจในการจัดการมา) จึงยังต้องรายงานทรัพย์สินถ้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามกฎระเบียบของ ปปช. (เหมือนกับที่รัฐมนตรีคนก่อนๆ ที่โอนทรัพย์สินให้กองทุนส่วนบุคคลจัดการ มีหน้าที่ต้องทำเช่นเดียวกัน -- แต่ย้ำอีกทีว่า ไม่มีข้อมูลค่ะว่ากองทุนเหล่านั้นอันไหนเข้าข่าย blind trust บ้าง)
4. การรายงานทรัพย์สินใน trust นี้ ต่อ ก.ล.ต. และ ปปช. (ซึ่งเป็นหน้าที่ของ trustee หรือผู้ดูแล trust) จะต้องละเอียดแค่ไหน อย่างไร เป็นเรื่องที่เจ้าของโพสนี้ไม่แน่ใจ (เพราะกฎหมาย blind trust ตรงๆ ยังไม่มีนั่นแหละ) แต่ในหลักการ การจัดตั้งโครงสร้างแบบนี้ถือว่าเป็นการวางมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว ดังนั้นถ้าจะต้องเปิดเผย อย่างมากก็ควรเปิดเผยทรัพย์สินเดิม (ณ ตอนที่สร้าง trust นั้นขึ้นมา เพราะถือว่ามีโอกาสเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับทรัพย์สินเดิม เพราะเจ้าของรู้ว่ามีอะไรบ้าง) และยอดรวมของมูลค่าทรัพย์สินใน trust ตามกำหนดการยื่นของ ปปช. เท่านั้น (เราอยากรู้รายละเอียดทรัพย์สินก็เพราะเจ้าของทรัพย์สินมีอำนาจจัดการ สุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ถ้าเขาโอนอำนาจการจัดการไปแล้ว เราก็ไม่ต้องรู้ละเอียดขนาดนั้นก็ได้)
5. ดังนั้นคำพูดของคุณกรณ์ที่ดูจะชี้นำว่า "มองไม่เห็น" = "ตรวจสอบไม่ได้" จึงไม่เป็นความจริง พูดไม่ครบ และทำให้คนเข้าใจผิดได้ค่ะ
เสริมอีกนิดว่า คุณธนาธรเป็นนักการเมืองคนแรกที่รู้จัก ที่ 1) ประกาศว่าจะจัดตั้ง blind trust ก่อนรู้ผลการเลือกตั้ง 2) เปิดเผย MOU ต่อสาธารณะ 3) ในสัญญาจะกำหนดข้อบังคับว่า trustee จะต้องไม่ซื้อหุ้นไทย และ 4) ไม่รับโอนทรัพย์สินคืนจนกว่าจะพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว 3 ปี -- ทั้งสี่ข้อนี้เป็นมาตรฐานสูงที่ไม่เคยเห็นนักการเมืองคนไหนทำมาก่อนค่ะ
CR : Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล
ท้ายที่สุดพอผมพอผมได้ข้อมูล ชุดนี้ก็ทำให้มองคล้ายๆกับ คุณ สฤณี ว่าคุณกรณ์ทำงานด้านการเงินมามากกว่า 15 ปี กลับไม่ให้ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างครบถ้วนจนทำให้เกิดข้อความเชิงลบ กับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเหมือนเป็นการชี้นำ ผมเองได้ตามคุณกรณ์ใน Facebook แต่เจอกรณี นี้ไปจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ผมว่าการให้ความเห็นเเกครั้งนี้ ดูจะจงใจดิสเครดิตทางการเมือง เเล้วตบท้ายด้วยการชูพรรคด้วยข้อความ
" ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ประชาธิปัตย์เพิ่งแถลงไปว่านักการเมืองทุกคนควร ‘เปิดเผยผลประโยชน์ที่ตนและทุกคนในครอบครัวมี’ และไม่ควรทำอะไที่ทำให้คน ‘ไม่เห็น’ ครับ "
ปล.ค่อนข้างยาวครับเลยจะเน้นข้อความใครอยากอ่านผ่านๆหรืออ่านเต็มๆได้ ตัวหนา = ผมแสดงความเห็น ขีดเส้นใต้ = ที่ตอบโต้กัน ตัวเอียง = คือข้อความที่โพสกันผ่านเฟสบุค กรณีนี้เห็นกระแสฝั่งที่ไม่ชอบธนาธรออกมาดิสเครดิตกันค่อนข้างเยอะจากกรณีนี้ เลยอยากแชร์ให้ดูทั้งสองมุม มองส่วนตัวผมเองได้ข้อสรุปในใจเเล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย tutajuke เมื่อ Tue Mar 19, 2019 04:17, ทั้งหมด 6 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ