#opinion

“ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ลงประเดิมสนามนัดแรก ในศึกฟุตบอลถ้วยหูโตเวอร์ชั่นเอเชีย รายการ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2019 หรือเรียกย่อๆง่ายๆ ACL 2019 ด้วยการบุกไปพ่าย อูราวะ เรด ไดมอนส์ ทีมดังแห่งศึกเจลีกแดนอาทิตย์อุทัย ญี่ปุ่น ขาดลอย 3-0

อย่างไรก็ดีแม้จะเป็นสกอร์ที่ขาด ทว่าหอกมองลึกลงไปในเรื่องขุมกำลัง ก็ถือว่าเป็นไปตามเนื้อผ้า เพราะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ทไลน์อัพ 11 ตัวจริง ชุดนี้ด้วยนักเตะไทยลงสนามถึง 9 ราย ทั้งแข้งวัยเก๋า รวมถึงดาวดังวัยแตะ20 ขวบต้นๆ ลงสนาม เช่น ศุภชัย ใจเด็ด, สุภโชค สารชาติ และ ศศลักษณ์ ไหประโคน

ซึ่งเมื่อนำรายชื่อทั้งสองทีมมาทาบทับและเปรียบเป็นภาษามวยก็ต้องเรียกว่ากระดูกคนละเบอร์ คนละพ.ศ. เพราะทางเจ้าถิ่น อูราวะ นั้นส่วนใหญ่นักเตะอยู่ในวัยปลายๆ เข้าหลักไมล์ 30 กันเพียบ จริงอยู่แม้ นักเตะสตาร์ดาวรุ่งรายนี้จะพิสูจน์ฝีเท้าให้เห็นว่าแกร่งพอที่จะลงสนามได้

แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ผมมองว่าทัพปราสาทสายฟ้า ปีนี้ยังไม่พร้อมและไม่ลงตัวเท่าที่ควร โดยเฉพาะนักเตะแนวรุกต่างชาติที่นำเข้ามาเช่น ไมก้า อดีตแข้งดีกรีที่เคยค้าแข้งในพรีเมียรลีกอังกฤษ ที่ย้ายเข้ามาสวนทางกับช่วง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ย้ายออกไป รวมถึง เปโดร จูเนียร์ กองหน้าประสบการณ์สูงบราซิล

ซึ่งรายแรกจากที่พูดคุยกับสื่อมวลชนสายข่าวฟุตบอลไทยด้วยกัน มองว่าคนที่น่าจะกดดันที่สุดน่าจะเป็น ไมก้า อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าน่าจะเป็นดีลที่ถูกดึงเข้ามาแทน ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต กองหน้าลีลาแซมบ้า ที่จารึกชื่อกวาดโทรฟรีแชมป์กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่างมากมาย

ส่วน เปโดร จูเนียร์ จากที่เห็นฟอร์ม ยอมรับเลยว่าเข้าขั้นยอดดาวยิงได้สบายๆ ครบเครื่องทั้งจังหวะล็อก จังหวะสับไก เหลือปรับจูนความเฉียบคม อีกเล็กน้อย ก็น่าจะทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดปีกความน่ากลัวได้อีกครั้ง

แต่อีกมุมที่น่าสนใจคือว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปีนี้กับความพยายามหันมาพัฒนาเด็กดาวรุ่ง เด็กไทยด้วยการส่งให้ลงเล่นแทบจะเป็นตัวหลัก มองในแง่ดีแน่นอนว่า เด็กๆเหล่านี้การได้เล่นในระดับสูงทั้งในลีก และ ในระดับเอเชีย ย่อมทำให้นักเตะได้รับประการณ์และฝีเท้าจะแกร่งและเก่งขึ้น

ขณะที่อีกมุมที่ผมมองหากเทียบกับหลายๆทีมในลีก ถือว่านักเตะดาวรุ่งหลายๆคนแม้จะฝีเท้าฉกาจ แต่ก็ยังดูจะเป็นรองในแง่วัยวุฒิ ที่แน่นอนว่าแข้งเก๋า ย่อมได้เปรียบกว่าในเรื่องเหลี่ยมหรือเชิงบอล ที่สำคัญปีนี้การลุ้นแชมป์ได้เหลือม้าเพียงตัวเดียว หรือสองตัวให้วิ่งไล่เข้าเส้นชัยกันอีกแล้ว

เพราะหากมองกันดีๆ หลายๆทีม ด้านขุมกำลังก็มีดีพอ ที่พร้อมจะเบียดลุ้นแชมป์ กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในทุกฝีก้าว จนถึงช่วงโค้งสุดท้าย

ซึ่งคงไม่ต้องมองไกลและว่ากันว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะมาแน่ เหมือนเช่นวลีที่ว่าไว้ช่วงเปิดตัวสโมสร เพราะทีมนี้สรรพกำลังนักเตะนั้นอัดแน่นและปรับจูนกันได้อย่างลงตัว

บวกกับประสบการณ์นักเตะในทีมทั้งไทย และต่างชาติเข้าขั้นเอกอุ และเล่นกันค่อนข้างเข้าขารู้ใจบวกกับพลังไฟที่อยากจะก้าวไปถึงแชมป์ลีกให้ได้สักครา

ตรงนี้แหล่ะครับ จึงเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมากว่าบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะมีการแก้เกม ปรับจูนเค้นฟอร์มทีมให้กลับมาไฉไลอีกครั้งได้เช่นไร ในยุคที่เน้นปั้นเด็กให้โอกาสดาวรุ่งลงสนามในฐานะแกนหลักสโมสร

จากนี้ก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าความสำเร็จจะลงเอยแบบไหน เพราะในอดีตอลัน แฮนเซน กูรูฟุตบอลทีวี เคยพูดถึงแมนยู ยุค90 ไว้ในหนังสือ “นำให้ชนะ” บรรทัดหนึ่งว่า คุณไม่มีทางคว้าแชมป์ด้วยการใช้เด็กลงสนาม

แต่เฟอร์กูสัน ก็เชื่อมั่นและคิดต่างพร้อมกับมองว่า ถ้าไม่มีเด็กๆพวกนี้ทีมแมนยูก็ไม่มีวันที่จะคว้าแชมป์ใดๆ ได้เลย

บางที บิ๊กเน บอสใหญ่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็คงมีความเชื่อมั่น ไม่ต่างจากเฟอร์กี้

เพราะในโลกนี้ไม่ว่าจะเรื่องไหน ไม่ใช่เฉพาะฟุตบอล ความเชื่อมั่น ความไว้ใจ ในความเห็นผมคือสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ทุกสิ่งสำเร็จได้ครับ.

"ยอดี้"

เครดิตภาพ
Buriram United