หลังจากเริ่มต้นกับทีมได้แบบเจียนอยู่เจียนไป ดูเหมือนว่า วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ จะสามารถเอาชนะใจทั้งแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ นายใหญ่อย่าง โจเซ่ มูริญโญ่ จนกลายมาเป็นตัวเลือกเบอร์หนึ่งในแนวรับของทีมได้แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อตประทับใจในเกมล่าสุดที่เสมอกับ คริสตัล พาเลซ ไป 0-0 ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งปราการหลังชาวสวีดิช มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขา แต่ต้องฝืนเล่นต่อเนื่องจากทีมเปลี่ยนตัวครบโควตาไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์สู้ฝืนวิ่งเขยกไปสกัดบอลจากการบุกของคู่แข่งในช่วงทดเวลาบาดเจ็บอีกด้วย

แต่ใครจะรู้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงให้เห็นถึงสปิริตและการเอาชนะใจคนรอบข้าง จนกลายมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของทีมได้

ย้อนกลับไปเมื่อวัยเยาว์ ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาสู่ทีม วาสเตราส ลินเดอเลิฟ โกนผมซะเกลี้ยงหัว โดยเป็นไอเดียของ โรบิน บลอมเม่ ซึ่งตอนนั้นเล่นเป็นแบ็คขวาให้กับทีม แต่เกิดอาการบาดเจ็บจนต้องให้ ลินเดอเลิฟ ลงล่นแทน เหตุเพราะเขาคิดว่าน่าจะทำให้ ลินเดอเลิฟ ในวัย 16 ปี นั้น ดูเข้มแข็งมากขึ้น

หลังจากที่ บลอมเม่ ประกาศไปในตอนนั้น แน่นอนว่าในทีมไม่มีใครแน่ใจสักคนเลยว่า ลินเดอเลิฟ จะพร้อมสำหรับการเล่นทีมชุดใหญ่ในเกมลีก วัน นอร์ท ของ สวีเดน ซึ่งเทียบเท่าดิวิชั่น 3

“เอาจริงๆ เขาไม่ได้มีคราบของยอดนักเตะเลยนะ แต่ในที่สุดเขาก็ก้าวเข้ามาสู่ทีมจนได้” คาล กรานาธ กุนซือของทีมในตอนนั้นกล่าว

มันคือเส้นทางอันน่าเหลือชื่อสำหรับ ลินเดอเลิฟ จากการลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลเพียงแค่ 1,500 คนในเมืองเล็กๆที่แทบจะไม่มีใครรู้จักของ สวีเดน สู่ ลิสบอน และ ลงเอยกับยอดทีมอย่าง แมนฯยูไนเต็ด ในที่สุด แม้ว่าจะมีคำถามมากมายว่าเขาจะคุ้มค่ากับเม็ดเงิน 31 ล้านปอนด์ที่ลงทุนไปหรือไม่ แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าทิศทางอนาคตของเขาในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด จะมีแสงสว่างที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว

ตั้งแต่ตอนที่เขาถูกทาบทามจาก เบนฟิก้า ในปี 2011 ผู้คนที่ วาสเตราส เองก็ช็อคกันน่าดู ซึ่งหลังจากย้ายไปเล่นใน โปรตุเกส แข้งชาวสวีดิช เองก็ต้องรอโอกาสของเขาเหมือนกัน เริ่มจากการลงเล่นในทีมชุดเยาวชน ก่อนที่จะก้าวสู่ทีมสำรอง และ ได้เปิดตัวลงเล่นทีมชุดใหญ่ในฐานะดาวรุ่งของทีมในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของซีซั่น 2015-16

แต่ก็ไม่นานจนกระทั่งซัมเมอร์ 2017 ที่เขาทำผลงานได้ดีต่อเนื่องจนถูก “ปีศาจแดง” ดึงตัวไปร่วมทีม

“ผมไม่คิดหรอกนะว่าจะมีใครคิดว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะโตขึ้นแล้วเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ ทีมระดับท็อปคลาสขนาดนั้น” กรานาธ กล่าว

“เขามีคุณสมบัติครบที่จะเตรียมพร้อมและทุ่มเทออกมาแบบ 100%”

แม้ว่าจะช่วย วาสเตราส คว้าตั๋วเลื่อนชั้นได้ในปี 2010 แต่ ลินเดอเลิฟ กลับถูกบรรดาพี่บิ๊กใน สวีเดน มองข้ามในช่วงเปิดซื้อขายนักเตะกัน

“ตอนนั้นในทีมทุกคนคิดว่าน่าจะมีทีมระดับล่างในลีก สวีเดน สนใจตัว วิคตอร์ บ้างนะ แต่ไม่มีใครคิดหรอกว่ามันจะเป็น เบนฟิก้า น่ะ”

“ทุกคนก็แบบ ‘เห้ย เอาจริงหรอ?”

ลินเดอเลิฟ เริ่มตกเป็นเป้าสนใจของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากที่เขาได้รับเลือกให้มีชื่อใน ทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้น ปี 2015 รุ่น ยู 21 ในเกมยูโร โดยเขาช่วยให้ทีม “ไวกิ้ง” คว้าถ้วยโทรฟี่ย์มาครองได้ที่ สาธารณรัฐ เช็ก แต่เส้นทางนั้นไม่ง่าย เพราะเจ้าตัวเพียงแค่ถูกเรียกมาติดทีมในฐานะตัวสำรอง และ ต้องสู้เพื่อตำแหน่งตัวจริง

เขาได้แต่นั่งบนม้านั่งสำรองในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดแรกที่เจอกับ อิตาลี แต่ 2 อาทิตย์ให้หลัง เขาก็ยิงจุดโทษตัดสินช่วยให้ สวีเดน ที่เป็นเพียงม้ามืด เอาชนะ โปรตุเกส ที่มีทั้ง วิลเลี่ยม คาวัลโญ่ และ เบร์น์โด้ ซิลวา ไปได้

“ระหว่างการแข่งขัน เขาก้าวเข้ามาสู่ทีมได้ และ มีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม” กรานาธ กล่าว

“เรื่องราวทั้งหมดมันบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว เขามีของ เขาไม่เคยยอมแพ้ เขารู้ว่าจะเข้าแย่งบอลจากคู่แข่งยังไง เขาทำได้ยังไงอย่างนั้นหรอ? ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน นั่นเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด”

ความท้าทายนั้นมีกองสูงยิ่งกว่าภูเขาสำหรับ ลินเดอเลิฟ เมื่อเขาเดินทางในถึงเมือง แมนเชสเตอร์ เขาใช้เวลามากกว่า 2 เดือน กว่าที่จะได้รับโอกาสลงเล่นในเกมพรีเมียร์ ลีก ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเกมที่เสมอ 0-0 ที่ แอนฟิลด์ ก่อนจะทำหมูหกในเกมกับ ฮัดเดิ้ลฟิลด์ หลังถูกเปลี่ยนลงเนแทน ฟีล โจนส์ ที่บาดเจ็บ ลินเดอเลิฟก็ดันทำพลาดจนทำเสียประตูที่สอง แล ผลจบลงด้วยการที่ “ปีศาจแดง” แพ้ไป 2-1

แต่จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ดูเหมือน ลินเดอเลิฟ จะพัฒนาขึ้นมาเป็นอย่างมาก และ กลายมาเป็นตัวเลือกแรกในแนวรับของ มูริญโญ่ นับตั้งแต่การลงเล่นเป็นตัวจริงและทำผลงานได้ดีในเกมกับ ยูเวนตุส ต่อด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนจะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของ สวีเดน ซึ่งมักจะถูกจับจองโดย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช มาครอง

จากแหล่งข่าวของ EPSN กล่าวว่า ที่จริงแล้ว มูริญโญ่ ไม่ได้พุ่งความสนใจอย่างเต็มที่ในการที่จะดึงเอา ลินเดอเลิฟ เข้ามาร่วมทีมสักเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยอมรับว่า ประทับใจในตัวแข้งวัย 24 ปี มานับแต่นั้น โดยเฉพาะความเฉลียวฉลาด ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้อย่างรวดเร็วกว่าใคร

กุนซือชาวโปรตุกีส เป็นพวกประเภทให้ความสำคัญกับความทุ่มเทในสนามซ้อม และ จากแหล่งข่าวอ้างอิงที่ใกล้ชิดกับสต๊าฟโค้ชของทีมก็ยืนยันว่า ลินเดอเลิฟ ทำได้อย่างดีเยี่ยม

มูริญโญ่ มองว่า ลินเดอเลิฟ มีจุดเด่นในด้านการผ่านบอล ซึ่งจากสถิติของผู้เล่นของทีมที่ลงสนามมากกว่า 10 เกมในลีก ซีซั่นนี้แล้ว เปอร์เซ็นต์การผ่านบอลของเขาถือว่าดีที่สุดเลยทีเดียว และ ก็มีเพียงแค่ ดาบิด เด เกอา, ลุค ชอว์, ปอล ป็อกบา และ คริส สมอลลิ่ง เท่านั้นที่ลงเล่นในพรีเมียร์ ลีกมากกว่าเขาในปีนี้

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้จักเขาเป็นอย่างดี และ รู้ด้วยว่า เขาจะพิสูจน์ตัวเองได้อย่างแน่นอน” กรานาธ

“ผมเองก็เซอร์ไพรส์กับการที่เขามาได้ไกลถึงขนาดนี้นะ แต่ผมควรจะรู้อยู่แก่ใจแล้วมากกว่า เขาเคยทำให้ผมเห็นมาแล้ว มันอาจจะไม่ใช่การเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบนักกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ตอนนี้เขาก็มาถูกทางแล้ว มันถือว่าเป็นความสำเร็จที่สวยงามเลยนะ”

“เขาได้ลงเล่นมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เขายังพัฒนาไปได้อีกมากโข ตอนนี้เขากลายมาเป็นตัวหลักให้กับทั้งสโมสรและทีมชาติแล้ว แถมเพิ่งจะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของ สวีเดน ไปได้อีก เขาเพิ่งจะอายุ 24 ปี และจะเก่งมากขึ้นกว่านี้แน่นอน”



---------------------------------------------------------------------------------------





ปล. ผมแปลมาจาก ESPN นะครับ ใส่คำพูดตัวเองลงไปนิดหน่อยตอนต้น หวังว่าทุกคนจะชอบ ขอบคุณครับ

ในแผงหลังตอนนี้นายไว้ใจได้สุดละ ขอบคุณที่นายสู้จนจากแพะกลายมาเป็นกองหลังตัวหลักได้ รักษาฟอร์มให้ดีนะ

ส่วนพวกแขวะแรกๆๆที่แขวะเลิฟตอนนี้คงลงรูหายไปหมดละ

เกมล่าสุดมีช็อตนึงเขาเลี้ยงผ่านไปง่ายๆ หลุดไปล่อเป้าเลย ดีไม่เป็นประตู

แต่รวมๆเกมล่าสุดเล่นดี แต่รวมๆ ตั้งแต่เปิดฤดูกาล จนถึงตอนนี้ ถ้า ลินเลิฟเป็นตัวหลักอยู่บอกเลย ก็รั่วเหมือนเดิม

เพราะไม่ได้ดีอะไรขนาดที่จะเป็นตัวหลักของแมนยูได้หรอก

นึกถึงวีดิชเลย

ถ้าจะใช้ลินเดอลอฟเป็นตัวหลัก ก็น่าจะต้องหาคู่เซ็นเตอร์ที่มีลักษณะเป็นผู้นำมายืนคู่ น่าจะทำให้ฟอร์มลินเดอลอฟดีขึ้นกว่านี้

แต่ถ้ายังยืนคู่สมอร์ลิ่ง ก็น่าจะได้เท่านี้แหละ โดยรวมอาจจะดูค่อนข้างดี แต่ก็จะมีจังหวะหลุดให้เห็นเกือบทุกเกมเช่นกัน

นัดล่าสุดก็ยังรั่วอยู่นะ แค่โชคดีทีมที่เจอเป็นพาเลซ ห่วยกว่าแมนยูก็แนวรุกพาเลซนี่แหละหลุดมาล่อเป้าตั้งหลายครั้งยิงทิ้งยิงขว้างหมด

ขอแค่อย่ายอมแพ้ มาดีแล้ว

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน



ตอนนี้แฟนบอลก็คงคิดเช่นกัน

ส่วนตรงนี้



คงต้องลุ้นกันต่อไป

ช็อตเจ็บแล้วฝืนไล่บอลคือได้ใจมาก รักขึ้นเยอะเลย

ดีขึ้น แต่ยังไม่ถือกับดีพอ
จังหวะโดนสวนกลับ เป็นกองหลังที่ห้อยเป็นตัวสุดท้ายแต่คนที่มาช่วยจริงๆดันเป็นแอชลีย์ ยังที่ต้องยอมตัดเกมแล้วโดนเหลือง ไม่งั้นหลุดไปหลายลูกอยู่เหมือนกัน

ถึงรั่วแต่หล่อโว้ย

อันนี้เห็นด้วยเลย

คือถ้าจะให้พัฒนาเป็นยอดกองหลัง ต้องหาคู่ตัวเก๋าๆมาช่วยสอน ช่วยคุมจังหวะ

พอดีดันไปยืนคู่กับสมอลลิ่งกลายเป็น ติดล่กทั้งคู่ไปเลย

ซ้ำ

พัฒนาได้อีกเยอะ มั่นใจว่าเล่นได้ดีแน่ๆ

ตอนนี้โดยรวม ดีกว่าแรกๆเยอะมาก

จังหวะเจ็บฝืนเล่นต่อ มันได้ใจเรียกคะแนนได้เยอะจริงๆ รวมทั่วตัวผมเองด้วย

แต่ถ้าดูทั้งเกมหลายเกม ก็ยังเล่นบอลนุ่มนิ่มเกิน ดีขึ้นแต่ยังไม่ดีพอ แบบเมนท์บนบอกละ
เนื้อหาในเกม ยังโดนสลัดหลุดง่ายๆ

จริงๆถ้าเล่นอ่านทาง คู่ขาที่เหมาะน่าจะเป็นไบญี่ตัวชน ปะทะก่อนแล้วเลิฟคอยเก็บ
สวนการขึ้นบอล ผมว่าไบญ๊่นิ ขึ้นแบบเลี๊ยงกินตัวมั่นใจกว่าด้วยซํ้า
แต่ในมุมมองมู อาจจะมองว่าเสี่ยงเกิน

ถ้ามีความตั้งใจเล่นทุ่มเทแบบนี้ มันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ แฟนก็สนันสนุนเอง
ต่อให้เล่นห่วย ถ้าใจเกินร้อย อย่างน้อยก็มีจุดเด่นขึ้นมาให้เห็น