เก็บตก ‘ช้างศึก’ ซด ‘ลอดช่อง’ ก่อนลุย ‘เสือเหลือง’

ทีมชาติไทย ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศได้ตามเป้าในฐานะแชมป์กลุ่ม แม้จะต้องลุ้นถึงนัดสุดท้าย ก่อนเปิดบ้านชนะ สิงคโปร์ 3-0 เมื่อวานนี้ โดยด่านต่อไปทัพ “ช้างศึก” ต้องไปเจอกับ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ในรอบตัดเชือก

สำหรับสิ่งที่ได้เห็นในเกมซดลอดช่อง

1.แผงแบ็กโฟร์ "ราเยวัช" มีการปรับเปลี่ยนด้วยการส่ง มิก้า ชูนวลศรี ลงมาแทน ฟิลิป โรลเลอร์ เพื่อที่ป้องกันการเสียประตู เพราะในเกมนัดที่แล้ว ฟิลิป จะเติมเกมรุกบ่อย จนทำให้ถูกเจาะจากทางด้านขวา ดังนั้นเกมนี้จึงเลือกใช้ มิก้า คอยปักหลักในแดนหลัง ไม่ดันขึ้นสูง

2.แนวรุก "ราเยวัช" เลือก นูรูล ศรียานเก็ม กลับมาลงมาเล่นริมเส้นฝั่งขวา เพื่อที่จะใช้ความเร็วในเล่นเกมโต้กลับ หรือเวลาที่กองหลังวางบอลยาวไปแดนหน้า ซึ่งก็ได้ผลในการป่วนเกมรับของผู้มาเยือน

3.สไตล์ของ "ราเยวัช" ที่ทุกคนชินตาคือ เมื่อ ทีมชาติไทย ได้ประตูขึ้นนำจะเน้นตั้งรับ โดยเฉพาะครึ่งหลัง จะเห็นว่า ทีมชาติไทย ลงไปแพ็คแน่นในแดนตัวเอง และอาศัยลูกสวนกลับ ซึ่งก็สามารถโต้สวยๆ ได้หลายครั้ง จนสุดท้ายมาได้ประตูตอกย้ำ 3-0 จาก อดิศักดิ์ ไกรษร

4.นักเตะที่เด่นสุดในเกมนี้คงต้องยกให้ดาวรุ่งวัย 19 “ศุภชัย ใจเด็ด” ที่ลงมายืนแนวรุกฝั่งซ้าย มีทั้งลูกขยัน มีทั้งความนิ่ง และลูกยิงที่เฉียบคม ก่อนจะซัลโวเหนือชั้น เป็นลูกที่ 3 ในรายการนี้ ทำให้ได้รับรางวัล "แมน ออฟ เดอะ แมตช์"

4.2 อีกคนที่โดดเด่นไม่เเพ้กันคือ สรรวัชญ์ เดชมิตร ไม่ว่าทีมชาติไทย จะทำเกมบุก หรือจะตั้งรับ “เจ้าเเคมป์” จะมีส่วนร่วมของทีมชาติไทยทุกครั้ง

บทสรุปหลังจบรอบแบ่งกลุ่ม ไทย ชนะ 3 เสมอ 1 ไม่แพ้ใคร ยิงได้ 15 เสีย 3 เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ตามด้วย ฟิลิปปินส์ ที่ชนะ 2 เสมอ 2 ไม่แพ้ใครเช่นกัน

ด่านต่อไปของ ทีมชาติไทย จะพบกับ “เสือเหลือง” มาเลเซีย รองแชมป์กลุ่มเอ ที่ก็ต้องลุ้นเข้ารอบจนถึงนัดสุดท้าย ก่อนเปิดบ้านถล่ม เมียนมา 3-0 ทำให้มีผลงานรอบแบ่งกลุ่ม ชนะ 3 แพ้ 1 ยิงได้ 7 เสีย 3

โดยเกมแรก “ช้างศึก” ต้องไปเยือนก่อน วันที่ 1 ธ.ค.นี้ จากนั้นจะกลับมาเล่นที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 5 ธ.ค.

แน่นอนว่า เกมแรก “ช้างศึก” จะต้องเจอความกดดันจากเสียงเชียร์ของแฟนบอลที่สนามบูกิต จาลิล ร่วมแสนคน

ตราบใดที่สงครามยังไม่จบ ทัพ “ช้างศึก” ก็ยังประมาทไมได้

หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

โหวตเป็นกระทู้แนะนำ