ความสุขจากการดูทีมของราเยวัช
หลังสิ้นเสียงนกหวีดของเกมกระชับมิตรที่ ทีมชาติไทย เปิดบ้านชนะ ตรินิแดด แอนด์ โตเบโก 1-0 ความสุขของการดูฟุตบอลและความศรัทธาในแท็คติก รวมถึงการเลือกผู้เล่นมาติดทีมของ มิโลวาน ราเยวัช ของผู้เขียนก็เอ่อล้นออกมา
เพราะหลังจากที่ถูกแฟนบอลบางส่วนค่อนแคะถึงการคว้าชัยเหนือ ฮ่องกง แบบฝืดๆแค่ 1-0 ราเยวัช ก็ใช้เวลาที่มีอยู่ 2 วันในการซักซ้อมเรื่องแท็คติกกับลูกทีม จนกลับมาระเบิดฟอร์มยอดเยี่ยมได้ใจแฟนบอลในเกมกับ ตรินิแดด ที่แม้ชนะได้แค่ประตูเดียวเหมือนกัน แต่ก็มีแง่มุมที่ดีมากมายให้ได้คิดตาม
สิ่งทึ่ต้องชม ราเยวัช คือการเรียกนักเตะตามผลงาน แม้ตอนขึ้นทะเบียน 50 นักเตะชุดลุยศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 อาจมีดราม่าตรงที่ไร้ชื่อ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ปีกซ้ายที่ทำ 10 ประตูกับ 8 แอสซิสต์จาก 34 เกมทุกรายการให้ ชลบุรี เอฟซี ก่อนถูกเรียกมาติดโผแทน ธนาสิทธิ์ ศิริผลา ที่ได้รับบาดเจ็บในภายหลัง
ทว่านั้นก็เป็นสิทธิของคนเป็นเฮดโค้ชอย่าง ราเยวัช ซึ่งสามารถกระทำได้ แค่ต้องรับผิดชอบกับผลงานของทีมที่จะตามมา แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวมของขุมกำลังผู้เล่นที่เรียกมาก็ถือได้ว่ามีผลงานติดตัวกันมาทุกคน
ประเด็นนี้แตกต่างอย่างมากจาก "ช้างศึก" ในยุคของ "ซิโก้"เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่แม้ในช่วงรายการสำคัญอย่างฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ก็มีกระแสดราม่าเรื่องการเมินแข้งฟอร์มดีด้วยเหตุผลว่าไม่เข้ากับระบบ พลางปล่อยให้นักเตะที่ฟอร์มย่ำแย่ในช่วงเวลานั้นเข้ามาติดทีมอย่างต่อเนื่องจนแฟนบอลรู้สึกต่อต้านอย่างในรายของ เกริกฤทธิ์, มงคล ทศไกร และ ประวีณวัช บุญยงค์ เป็นต้น
ในขณะที่การประกาศรายชื่อ 23 ขุนพลทีมชาติไทยของ ราเยวัช สำหรับลงเตะนัดกระชับมิตรกับ ฮ่องกง ก่อนเสริมด้วย 3 ผู้เล่นจากเจลีกอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา, ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน ในเกมกับ ตรินิแดด ซึ่งไม่มีชื่อของแข้งฟอร์มเด่นอย่าง ทริสตอง โด (7 ประตูกับ 9 แอสซิสต์จาก 39 เกม), จักรพันธ์ แก้วพรม (5 ประตูกับ 9 แอสซิสต์จาก 48 เกม), วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ (17 ประตูกับ 7 แอสซิสต์จาก 41 เกม), ศิวกรณ์ เตียตระกูล (10 ประตูกับ 7 แอสซิสต์จาก 41 เกม) และ สุรชาติ สารีพิมพ์ (11 ประตูกับ 9 แอสซิสต์จาก 38 เกม) แต่กลับไม่มีเสียงต่อต้านจากแฟนบอลมากนัก เพราะนักเตะรายอื่นที่อยู่ในโผดังกล่าวต่างก็มีผลงานที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันนั่นเอง
ไม่มีแบบค้านสายตาเหมือนที่ "โค้ชโย่ง" วรวุธ ศรีมะฆะ ทำกับทีมชาติไทยชุดยู-23 ที่เมินเรียกเซนเตอร์แบ็คอย่าง นิรันดร์ มีมาก (ลง 28 เกมในลีก) กับ มาร์โก บัลลินี่ (ลง 16 เกมในลีก) มาลุยศึกเอเชี่ยนเกมส์ แต่กลับใช้บริการ วรวุฒิ นามเวช ที่ได้เล่นในลีกซีซั่นนี้แค่ 2 เกมเป็นตัวหลักแนวรับอย่างน่าตาเฉย
สุดท้ายพอตกรอบแรก มันจึงไม่แปลกที่ "โค้ชโย่ง" จะถูกไล่ออก แม้พยายามอ้อนวอนขอโอกาสคุมทีมต่อ แต่ด้วยการเรียกตัวผู้เล่นตามความชอบส่วนตัวมากกว่าผลงานที่แท้จริงแบบนี้่ คุณต้องทำทีมประสบความสำเร็จให้ได้ เพราะหากล้มเหลว คุณไม่มีเหตุผลใดมาอ้างได้ เนื่องจากมีสิ่งที่เป็นข้อกังขามาตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการเดิมพันของผู้เป็นโค้ชอย่างแท้จริง
กลับมาว่ากันต่อที่ ราเยวัช ซึ่งก็มีแข้งคนโปรดตามสายตาของแฟนบอลเช่นกัน อย่างในรายของ สิโรจน์ ฉัตรทอง แต่เพราะซีซั่นนี้เจ้าตัวยิงไม่ได้สักประตูจากการเล่น 20 นัด ขณะที่การย้ายจาก เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปอยู่กับ ประจวบ เอฟซี ในครึ่งหลังของฤดูกาล เขาได้เล่นครบ 90 นาทีแค่นัดเดียวเท่านั้นจากโอกาสลงสนาม 11 เกม ทำให้เมื่อไม่มีชื่อ "ปีโป้" อยู่ในโผทีมชาติไทยล็อต 50 คน จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่าโค้ชชาวเซิร์บเลือกนักเตะตามผลงานจริงๆ เช่นเดียวกับการไม่ใส่ชื่อขาประจำอย่าง พีระพัฒน์ โน้ตชัยยา ที่ฟอร์มตกรุนแรงไว้ในขุมกำลัง 23 คน
ขณะที่ฟอร์มการเล่นของ "ช้างศึก" ในการดวลกับ ตรินิแดด ที่มีฟีฟ่าแรงค์กิ้งเหนือกว่าก็ยกระดับจากเกมที่เบียดชนะ ฮ่องกง อย่างเห็นได้ชัด เพราะนอกจากเกมรับอันเหนียวแน่นตามสไตล์ของ ราเยวัช ในส่วนของเกมรุกก็มีมิติการเข้าทำที่หลากหลาย โดยเฉพาะในแดนกลางที่นักเตะแต่ละคนต่างมีแนวทางการเล่นที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้เป็นโค้ชสามารถหยิบมาใช้ได้ตามสถานการณ์และเชื่อได้ว่าตอนนี้รายชื่อทีมชุดสู้ศึกชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนใกล้ลงตัวเต็มทีแล้ว
####################
- ผู้รักษาประตู : ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน คงยึดมือหนึ่งจากผลงานในเกมกับ ฮ่องกง ขณะที่ ฉัตรชัย บุตรพรม แม้มีช็อตทำบอลหลุดในเกมกับ ตรินิแดด แต่ในภาพรวม เขาก็เฝ้าเสาได้อย่างมั่นคงและทำให้เพื่อนร่วมทีมอุ่นใจได้ ส่วนมือสามคงเป็นโอกาสของ วรวุฒิ ศรีสุภา ที่อยู่ในรายชื่อ 23 คนอยู่แล้ว
####################
- เซนเตอร์แบ็ค : ราเยวัช แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเลือก สุพรรณ ทองสงค์ เป็นเบอร์ 4 ในตำแหน่งนี้ หลังการถอดชื่อของ บัลลินี่ ออกจากทีมในเกมกับ ตรินิแดด ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามผลงาน เพราะ สุพรรณ มีส่วนสำคัญในการทำให้ สุพรรณบุรี เอฟซี เสียประตูในลีกแค่ 35 ลูก เป็นรองแค่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมเดียว ขณะที่ฟอร์มของเจ้าตัวในเกมนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นโค้ชต้องผิดหวัง เมื่อช่วยให้ทีมเก็บคลีนชีทได้สำเร็จ ส่วน พรรษา เหมวิบูลย์ คงเรียกความฟิตกลับมาช่วยทีมได้อย่างไม่มีปัญหา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ราเยวัช ไม่ได้ลองใช้ บัลดินี่
ส่วนโควต้าที่่เหลือแน่นอนว่าเป็น เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว ที่โชว์ความเป็นนายใหญ่แนวรับตลอด 2 นัดที่ผ่านมา เมื่ออ่านทางดักบอลเรียบวุธทั้งบนพื้นและกลางอากาศ ขณะที่ มานูเอล ทอม เบียห์ร ก็เล่นได้อย่างแข็งแกร่งรับแรงปะทะได้ดี
####################
- แบ็คขวา : ฟิลิป โรลเลอร์ ขึ้นหิ้งเป็นตัวหลักจากฟอร์มในเกมกับ ฮ่องกง หลังเล่นได้อย่างดุดันและเติมเกมบุกได้เมามันจนทำให้แฟนบอลลืม ทริสตอง ไปเลย ส่วนแบ็คอัพคงเป็น มิก้า ชูนวลศรี ที่มาพร้อมความแข็งแกร่งของร่างกายและเป็นทางเลือกของ ราเยวัช หากต้องการเน้นเกมรับแทนที่ของ อดิศร พรหมรักษ์
####################
- แบ็คซ้าย : ความสมดุลในการเล่นทั้งรุกและรับ รวมถึงลูกครอสที่พึ่งพาได้ทำให้ กรกช วิริยอุดมศิริ เป็นเบอร์หนึ่งในพื้นที่นี้ แต่ตัวสำรองอาจยังไม่นิ่งเพราะ แม้ เควิน ดีรมรัมย์ ระเบิดฟอร์มทำ 3 ประตูกับ 8 แอสซิสต์จาก 38 เกมซีซั่นนี้ แต่กลับไม่ได้รับโอกาสลงเล่นตลอด 2 เกมอุ่นเครื่องที่ผ่านมา ทำให้ สุริยา สิงห์มุ้ย ที่ทำ 2 ประตูกับ 4 แอสซิสต์จาก 39 เกมอาจยังมีลุ้นพลิกสถานการณ์ได้
####################
- มิดฟิลด์ตัวรับ : แน่นอนว่า ธนบูรณ์ เกษารัตน์ เป็นตัวยืนในตำแหน่งนี้ด้วยคลาสการเล่นที่ใครเห็นก็ต้องยอมรับ ส่วนตัวสำรองคงไม่พ้น ปกเกล้า อนันต์ ที่ ราเยวัช หมายมั่นปั้นมือให้เป็นกลางรับในแบบโฮลดิ้งมิดฟิลด์ คอยใช้ชั้นเชิงดักตัดบอลและเชื่อมเกมด้วยการผ่านบอลง่ายๆ แต่แม่นยำ แถมเจ้าตัวมีสกิลวาร์ปไปป้วนเปี้ยนแถวเขตโทษให้เห็นเป็นระยะอีกด้วย
เข้าใจว่า ราเยวัช คงเชื่อมั่นใน ปกเกล้า ว่าสามารถรับมือกับคู่แข่งในระดับอาเซียนได้ เลยเลิกมองข้ามกลางรับอาชีพฟอร์มดีอย่าง แอนโธนี่ อำไพพิทักษ์วงศ์ และ รัตนากร ใหม่คามิ ซึ่งทั้งสองคนคงต้องรอโอกาสต่อไป ซึ่งอาจเป็นศึกในระดับเอเชียที่คู่แข่งเหนือกว่าเราและบีบให้โค้ชต้องหันกลับมาเล่นบอลรัดกุม
####################
- มิดฟิลด์ตัวกลาง : ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ เป็นหัวใจสำคัญในระบบของ ราเยวัช กับสไตล์การเล่นแบบบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ วิ่งไม่มีหมดของเจ้าตัว แถมเกมนี้ยังเพิ่งซัดประตูโทนช่วยให้ทีมชนะ ตรินิแดด อีกด้วย
ขณะที่ สุมัญญา ปุริสาย ซึ่งทำ 12 ประตูกับ 8 แอสซิสต์จาก 33 เกมซีซั่นนี้ก็งัดฟอร์มเก่งในทีมชาติได้ทันเวลา เมื่อแอสซิสต์อย่างเหนือชั้นให้ ฐิติพันธ์ หลุดไปยิงประตูได้ แถมยังบงการเกมกลางสนามได้อย่างโดดเด่น คอยวิ่งเชื่อมเกม วางบอลยาว รวมถึงการปั่นฟรีคิกที่ร้อนถึงนายด่าน ตรินิแดด ต้องออกแรงปัด
พิจารณาดูแล้ว สุมัญญา ที่ทำได้ดีทั้งบทบาทมิดฟิลด์ตัวกลางและมิดฟิลด์ตัวรุกคงมีลุ้นเป็นตัวจริงได้เช่นกัน แต่ยังต้องแย่งตำแหน่งกับศิลปินลูกหนังอย่าง สรรวัชญ์ เดชมิตร ซึ่งเป็นนักเตะที่ ราเยวัช ชื่นชอบ เพราะมีวิชั่นการจ่ายบอลที่เหนือความคาดหมายเป็นอาวุธเด็ดของทีมนั่นเอง
ด้วยฟอร์มของคู่นี้ทำให้โอกาสติดทีมชาติของ จักรพันธ์ ที่แม้เป็นคีย์แมนในความสำเร็จฤดูกาลนี้ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมถึงสองสตาร์ค่าย เมืองทอง ยูไนเต็ด อย่าง สารัช อยู่เย็น และ ชาริล ชัปปุยส์ คงเหลือไม่มากแล้ว
####################
- เพลย์เมคเกอร์ : สุมัญญา กับ สรรวัชญ์ คนใดคนหนึ่งจะเป็นตัวจริงในพื้นที่ตรงนี้ ส่วนตัวเปลี่ยนเกมคงต้องบอกว่า อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ที่ทำ 5 ประตูกับ 4 แอสซิสต์จาก 20 เกมนับแต่ไปเล่นให้ บางกอกกล๊าส เอฟซี ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลอาจคว้าโควต้าไว้ได้ หลังใช้ความเร็วลากเลื้อยทะลวงแนวรับ ตรินิแดด ได้อย่างยอดเยี่ยม จนดูเป็นตัวแทนโดยตรงของ ชนาธิป ไปโดยปริยาย
ขณะที่ วรชิต แม้เป็น "เดอะ แบก" ของ ชลบุรี เอฟซี แต่ด้วยสไตล์ที่ดูไม่แตกต่างจาก สุมัญญา กับ สรรวัชญ์ มากนัก เลยทำให้ อานนท์ มีภาษีติดทีมสูงกว่า
####################
- ปีกซ้าย/ขวา : การันตีตำแหน่งไปได้เลย 2 ราย คือ ชนานันท์ ป้อมบุษผา ที่นอกจากการทำ 8 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ในลีกซีซั่นนี้แล้ว เจ้าตัวยังเก็บบอลริมเส้นและลากกินตัวคู่แข่งได้ตลอด แถมเขายังขึ้นไปยืนเป็นหน้าเป้าได้อีกด้วย
ส่วนอีกรายคือเจ้าของรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมไทยพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้อย่าง ศศลักษณ์ ไหประโคน ซึ่งทำผลงานได้ดีในการเล่นริมเส้นทั้งสองข้าง หากยืนฝั่งขวา เขาก็ลากตัดเข้าในมาสับไกยิงได้ ถ้าไปเล่นด้านซ้ายก็สามารถใช้ความเร็วลากไปสุดเส้นเพื่อครอสมาให้กองหน้าเข้าทำได้เช่นกัน
ที่น่าสนใจคือตัวสำรอง เพราะไม่รู้ว่า ราเยวัช จะยังยึดมั่นกับสองปีกฟอร์มแรงอย่าง นูรูล ศรียานเก็ม (6 ประตูกับ 8 แอสซิสต์จาก 33 เกม) ที่มีจุดเด่นเรื่องความเร็ว และ ปกรณ์ เปรมภักดิ์ (7 ประตูกับ 14 แอสซิสต์จาก 38 เกม) ซึ่งมีการเปิดบอลอันแม่นยำเป็นเครื่องหมายการค้า อยู่อีกหรือไม่ เพราะทั้งคู่ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองไม่มากนักในเกมอุ่นเครื่องสองนัดที่ผ่านมา
ขณะที่ตัวเลือกอื่นยังมีทั้งแข้งฟอร์มแรงอย่าง เกริกฤทธิ์ กับ ศิวกรณ์ หรือจะเป็นขาประจำในทีมของ ราเยวัช อย่าง มงคล (4 ประตูกับ 9 แอสซิสต์จาก 37 เกม) และ บดินทร์ ผาลา (4 ประตูกับ 3 แอสซิสต์จาก 39 เกม) รวมถึงดาวโรจน์อย่าง พิชา อุทรา (6 ประตูกับ 3 แอสซิสต์จาก 32 เกม)
####################
- กองหน้า : ราเยวัช เลือกเชื่อใจศักยภาพของ อดิศักดิ์ ไกรษร ที่หลายคนยอมรับว่าในช่วงพีค เขาเป็นรองแค่ ธีรศิลป์ คนเดียวในตำแหน่งนี้ ทำให้แม้เจ้าตัวยิงไม่ได้สักลูกตลอด 10 เกมซีซั่นนี้ (ทำ 5 แอสซิสต์) แต่ก็ยังได้โอกาสให้มาพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งจากฟอร์มในเกมกับ ตรินิแดด ที่เขาเริ่มเรียกจังหวะเดิมๆได้แล้ว คงทำให้มีชื่อไปลุยศึกชิงแชมป์อาเซียนได้เช่นกัน
ส่วนอีกโควต้า แม้ว่า ศุภชัย ใจเด็ด (7 ประตูกับ 4 แอสซิสต์จาก 48 เกม) อาจดูเหมาะเล่นหน้าต่ำมากกว่าหน้าเป้า แต่ก็มีโอกาสที่ ราเยวัช อาจหนีบเขาไปเพื่อใช้ประโยชน์จากความเร็วและทักษะการครองบอลในเกมสวนกลับและต้องไม่ลืมว่ายังมี ชนานันท์ ที่สามารถขยับขึ้นมาเล่นในตำแหน่งนี้ได้เช่นกัน แต่หากพลิกโผไปจากนี้ก็คงเป็น สุรชาติ ที่มีความแข็งแกร่งและฟอร์มดีเข้ามาสอดแทรก
####################
คาดการณ์ 23 ขุนพลทีมชาติไทย ชุดลุยศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018
ผู้รักษาประตู : ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน, ฉัตรชัย บุตรพรม, วรวุฒิ ศรีสุภา
กองหลัง : พรรษา เหมวิบูลย์, เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว, มานูเอล ทอม เบียห์, สุพรรณ ทองสงค์, ฟิลิป โรลเลอร์, มิก้า ชูนวลศรี, กรกช วิริยอุดมศิริ, เควิน ดีรมรัมย์
กองกลาง : ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ปกเกล้า อนันต์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, สุมัญญา ปุริสาย, สรรวัชญ์ เดชมิตร, อานนท์ อมรเลิศศักดิ์
ปีก+กองหน้า : ชนานันท์ ป้อมบุษผา, ปกรณ์ เปรมภักดิ์, ศศลักษณ์ ไหประโคน, นูรูล ศรียานเก็ม, อดิศักดิ์ ไกรษร, ศุภชัย ใจเด็ด