นักบอลถ้วย ก.
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Nov 2008
ตอบ: 3838
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri May 25, 2018 15:28
[RE: [หงส์เเดง] : ความสามารถในการรั้งผู้เล่นเก่งๆไว้ในทีม]
เสริมอีกเรื่องครับ นโยบายกับความทะเยอทะยาน มันก็จะแสดงออกถึงการซื้อตัวผู้เล่นและการเลือกผู้จัดการทีม ซึ่งนักบอลเขาก็ดูออกแหละว่าทีมที่ตูจะอยู่ต่อเนี่ยทิศทางเป็นยังไง
ความทะเยอทะยาน
นโยบายก่อนหน้านี้ที่เน้นซื้อพวกมีแวว อายุน้อย มันเป็นแนวทางของทีมเน้นธุรกิจมากกว่าเน้นประสบความสำเร็จ มองอีกอย่างก็มีเหตุผลได้ว่า ทีมไม่มีงบมากต้องค่อยๆปั้น แต่สุดท้ายวิธีการแบบนี้แบบสุดโต่งมันให้แต่ผลกำไรไม่เน้นแชมป์
สุดท้ายถึงวัยที่นักเตะฟอร์มดีก็ย้ายออกอยู่ดี การที่แมนยูยอมเซ็นฟานเพอซี่ ตอน 28 หรือ 29 มันก็คือการแสดงออกของทีมที่มองแชมป์มากกว่า
ผู้จัดการทีม
มูริญโญ่เคยชวนให้เจอราดลังเลที่จะย้ายไปร่วมทีมด้วย บอกอะไรได้หลายๆอย่างเลย สุดท้ายที่ไม่ย้ายก็ไม่มีใครรู้ในใจแกคิดอะไร จริงๆอาจจะกลัวการปรับตัวกับทีมใหม่ มูไม่การันตีตัวจริงรึเปล่า หรือรักลิเวอร์พูล หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่สุดท้ายรอดเจอร์ก็รั้งแกให้เป็น one man club ไม่ได้ กับบทบาทตัวสำรองที่ช่วยประคองน้องๆ ในฐานะตำนานแกคงมีทิฐิอยู่บ้างกับการสำรอง แล้วลองมองดูท่านเซอร์คุมกิ๊ก กับ สโคลดู จะเห็นความต่างแบบเป็นทุ่ง โอเคไม่ว่ากันมวยคนละรุ่นใครเอาไปเทียบก็คงไม่ติด
ซึ่งประเด็นคือผู้จัดการทีมก็มีผลกับการรั้งนักเตะหรือซื้อตัวอยู่เยอะเลย นโยบายลิเวอร์พูลคือไม่ได้ดึงผู้จัดการระดับบิ๊กเนม แต่เป็นระดับมวยรองที่เน้นไม่กดดันเรื่องความสำเร็จมาก แต่จูงใจให้ทำทีมระยะยาว (ไม่นับปู่รอยละกันที่มองไม่ออกจริงๆว่าเลือกเพราะอะไร) ซึ่งถ้าผมเป็นนักบอลที่ถูกปั้นจนดัง วันนึงก็ต้องถามตัวเองบ้างล่ะ ว่ามันจะมีเดดไลน์ของความสำเร็จเมื่อไหร่
ถ้าเทียบกับเชลซีหรือแมนยู แค่ปีเดียวดูแล้วไม่ดีก็ปลิวแล้ว อันนี้มองในแง่แค่ความทะเยทะยานนะ วิธีนี้แฟนที่เชียร์บางคนยังไม่ชอบเลย
ถ้าปั้นเด็ก ปั้นดินเป็นดาวและทีมได้แชมป์ด้วย ใครๆก็ชอบแบบนี้ครับ โรแมนติกกว่าเยอะ แต่ใครจะรอและใครจะรู้ว่ารอแล้วมา กับซื้อผู้เล่นบิ๊กเนมมาแล้วทีมได้แชมป์ยังไงความน่าจะเป็นก็เยอะกว่า (ถ้าเงินถึง) ซึ่งไอ้ประเด็นนี้มันก็มีส่วนในการรั้งนักเตะให้อยู่กับทีมด้วย
พิมพ์ซะยาว ง่ายๆคือถ้าทีมมีอนาคตที่ชัดเจนคนที่อยู่ก็อยากอยู่คนที่ชวนก็อยากมาครับ