ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 7850
ที่อยู่: กทม
โพสเมื่อ: Wed Apr 25, 2018 10:59 pm
ก็ในเมื่อ " ตาบอด " ... จะแยกแยะยังไงว่า " ใครเป็นคน ใครเป็นผี ".... !?


โฮอิชิ นักบวชตาบอด ... !!
ก็ในเมื่อตาบอด จะแยกแยะยังไงว่า ใครคน ใครผี !?
และนี่แหละ คือที่มา ตำนานความสยอง ที่จะเล่า ....
.
เรื่องราวที่เล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของเหล่า
ดวงวิญญาณแค้น ที่ไม่ยอมไปสู่สุคติ
คือ ดวงวิญญาณของตระกูลไฮเกะ มีเรื่องอยู่ว่า.....
.
ในอดีตมีสองตระกูลใหญ่ ที่ไม่ถูกกันมานาน
แต่บรรพบุรุษ จนมาถึง ลูกหลานจึง จงเกลียดจงชัง
กันมาตลอด และมัก จะก่อสงครามกัน
ระหว่างสองตระกูลนี้บ่อยครั้ง
ด้วยความบาดหมางที่เก็บมานาน
เลยเกิดสงครามของสองตระกูลนี้อีกครั้ง
ทำให้ผู้คนล้มตายและฝ่ายตระกูลไฮเกะ
เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงพบจุดจบ ฆ่าล้างผลาญตระกูล !!
.
แม้เจ้านายตัวน้อย ของตระกูล
ที่เป็นทายาทก็ถูกสังหาร ไปด้วย
วิญญาณของตระกูล รวมถึงญาติพี่น้อง
และข้าทาสบริวาร จึงกลายเป็นวิญญาณแค้น
.
เรื่องเล่านี้ เป็นเรื่องเล่า ที่นิยมเล่าขาน
โดยมีพระตาบอด เป็นผู้ที่เข้าไปใกล้
กับโลกแห่งวิญญาณ และถูกเหล่าวิญญาณนั้น
ตามล่า และรอดมาได้...จึงเป็นตำนาน
เล่ามาจนถึงปัจจุบัน ....!!!
.


เรื่องนี้มีอยู่ว่า สองตระกูลที่ยิ่งใหญ่คือ
ตระกูลไฮเกะ(ทะอิระ) กับ ตระกูลเยนติ(มินะโมะโตะ)
เป็นสองตระกูลที่มีความแค้น ต่อกัน
เกลียดชังกันมา แต่อดีตของบรรพบุรุษ
และมีรุ่นลูกหลาน ที่ต้องรับหน้าที่
ในการบาดหมางครั้งนี้ จนถึงกลับมีสงคราม
ฆ่าล้างตระกูลให้มันหมด โดยทำสงคราม
ที่ทะเลช่องแคบชิโมะโนะเซกิ
เกิดฝ่ายตระกูลไฮเกะพ่ายแพ้ ถูกสังหารทั้งตระกูล
แม้แต่ข้าทาสบริวารก็ยังไม่รอด
เจ้านายตัวน้อย ผู้เป็นทายาท
คนรุ่นสุดท้ายของตระกูลก็จบชีวิตลง
เหล่าวิญญาณของตระกูลไฮเกะ
ยังคงวนเวียนอยู่และร้อง ด้วยเสียง
ที่น่าสยดสยองและกล่าวแต่คำว่า
.
"ต้องล้างแค้น"
มีผู้คนพบดวงไฟวิญญาณลอยไปมาในทะเล
และชายหาดที่เป็นสมรภูมิ เหล่าวิญญาณตายโหง
ของตระกูลไฮเกะก็คอยหลอกหลอน
ชาวประมงที่แล่นเรือผ่านบริเวณนั้น
บางทีจะพยายามจมเรือก็มี สร้างความเดือนร้อน
ชวนขนลุกแก่ชาวบ้านเป็นอันมาก
.
เหล่าชาวบ้าน จึงรวมตัวกัน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
ให้พา ดวงวิญญาณไปพบกับความสงบ
และช่วยกันสร้างวัดทางพระพุทธศาสนา
ชื่อว่า"อะมิดะจิ" ขึ้นในที่ ของตระกูลไฮเกะ
เพื่อการสร้างกุศลครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่ตระกูลไฮเกะ
และหลังจากนั้น ก็ไม่มีดวงวิญญาณใด
ของตระกูลไฮเกะปรากฏตัวมาอีกเลย
.


จนกระทั่งมีพระตาบอดนามว่า "โฮอิชิ"
มีความสามารถในการเล่นพิณและมีฝีมือ
เป็นที่ล่ำลือในความไพเราะ เขาสามารถขับกลอน
เป็นบทเพลงอันไพเราะ และ น่าเศร้าชวนน้ำตาไหล
ในบทขับกล่อม กล่าวถึงตระกูลไฮเกะผู้น่าสงสาร
เหล่าชาวบ้านล่ำลือ จนมีผู้คนมาขอฟังกันมากมาย
.
นักบวชโฮอิชิ มักจะร้องเพลงขับกล่อม
ให้เจ้าอาวาสฟังเสมอ เพราะเจ้าอาวาส
ชื่นชอบในบทกวี แต่ต่อมา เจ้าอาวาส
และพระภิกษุบางรูป ถูกนิมนต์ไปสวดในพิธีศพ
จึงมีพระโฮอิชิ กับเด็กวัดไม่กี่คน
ในตอนกลางคืน อากาศร้อน พระโฮอิชิ
จึงออกมานั่งเล่นพิณอยู่นอกที่กุฎิ
(ขอเรียกแบบนี่ละกันเป็นพุทธดี)
.
ท่านบรรเลงบทกวี อยู่อย่างเพลินเพลิด
จนท่านสัมผัสได้ถึงว่าคนอยู่ใกล้ๆ
ท่านกลัวตัวสั่นด้วยที่ตาบอด
จึงกลัวและพยายามจะหนี
.
"ท่านเป็นใคร...ท่านเป็นใคร..."
หญิงสาววัยกลางคน แต่งกายแบบผู้มีอันจะกิน
ด้วยเครื่องประดับและกิโมโนที่สวยงาม
.
"ข้าน้อยขอนมัสการท่านพระโฮอิชิ"
.
"โยมมีอันใดกับอาตมาหรือ"
.
"ข้าน้อยได้ยินคำล่ำลือว่า ที่วัดแห่งนี้
มีพระตาบอด ที่บรรเลงพิณได้ไพเราะ
และร้องบทเพลงกล่อมได้เป็นเลิศ"
.
"โยมพูดเช่นนี้...."
.
"คือว่าเจ้านายของข้าน้อย เป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
มาประทับที่เมืองนี้ และได้ยินกิตติศักดิ์ของท่าน
และเจ้านายของข้า จึงต้องการเป็นอันมาก
ที่จะฟังเพลงพิณและบทขับกล่อมของท่าน
จึงให้ข้าน้อยมารับท่านไปขับกล่อมให้ฟังเจ้าค่ะ"
.
"ถ้าเป็นเช่นนั้น อาตมาก็ยินดี"
.
จากนั้นหญิงสาวผู้เป็นสาวใช้
ของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ก็นิมนต์พระโฮอิชิ
ขึ้นรถม้าและตนเอง ก็ขึ้นนั่งข้างคนขับรถ
รถม้าวิ่งผ่าน หลังวัดมาไม่นาน
ก็ปรากฏคฤหาสน์อันใหญ่โต และโอ่อ่า
สาวใช้พาพระโฮอิชิ เข้าไปยังห้องโถงที่ใหญ่
และสว่างด้วยแสงเทียน เหล่าผู้คนจำนวนมาก
นั่งตามที่นั่ง ของตนเองมากมาย
แต่งกายด้วยเสื้อผ้าไหมอย่างดี ทั้งชายและหญิง
ที่นั่งตรงกลางห้องที่วางด้วยเบาะนุ่มๆ
สาวใช้นิมนต์ ให้พระโฮอิชินั่งบนเบาะนั้น
ผ้าม่านที่ฝั่งหนึ่ง ของห้องตรงหน้าพระโฮอิชิก็เปิดออก
เด็กชายน่ารักวัย 8 ขวบ นั่งพร้อมกับเหล่าสาวใช้
และแม่นม ที่ดูแก่มีอาวุโส
.
"ข้าแต่ท่านหลวงพี่ ข้านิมนต์ท่านมาในครั้งนี้
ด้วยใคร่อยากจะฟังบทกล่อมและเสียงพิณของท่าน
ที่ล่ำลือ หลวงพี่ท่านจะช่วยสนอง แก่ข้าน้อย
ช่วยบรรเลงขับลำนำประวัติ ของตระกูลไฮเกะ
พร้อมกับประสานเสียงพิณได้หรือไม่"
.
"ไ้ด้...อาตมายินดี..แต่ว่าบทขับลำนำ
ของประวัติตระกูลไฮเกะนี้ ยาวมาก
คงเล่นไม่ได้พร้อมในช่วงค่ำคืนนี้
โยมช่วยบอกอาตมา ว่าต้องการ
ฟังตอนไหนของบทขับนี้ "
.
"เช่นนั้นข้าน้อยขอฟังตอนทำสงคราม
ที่ดันโนะอุระเลยลล่ะกัน เป็นตอนที่น่าโศกสลดที่สุด"
.




จากนั้นโฮอิชิ ก็เริ่มจับพิณและดีดบรรเลง
มือบรรเลง สัมผัสบนเส้นพิณดีดดัง
สัมผัสกันจนเกิดเสียงที่เศร้าสร้อย...
และค่อยๆรุนแรงขึ้น คล้ายเสียงคลื่นลมในทะเล
และเสียงของดาบและกระบี่ เสียงธนู
ผู้คนชมเชยกัน ถูกฝีมือของพระโฮอิชิ
ที่บรรเลงได้เสมือนจริง แต่พอพระโฮอิชิ
ขับกล่อมมาถึงตอนที่ว่า เป็นจุดสำคัญของตอน
.
"นักรบตระกูลเยนจิ ผู้ชนะในสงคราม
เข้าบุกคฤหาส์นแห่งตระกูลไฮเกะ....
ธนูไฟยิงใส่ต้นไม้หลังคา และผู้คนล้มตาย
น่าสังเวชสยดสยอง ดิ้นทุรนทุราย
ไฟผลาญเผาไหม้ตายน่าเวทนา....
แม่นมนิอิโนะอะมะ ด้วยความภักดี
จะรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลไฮเกะ...
เธอเข้าอุ้มกอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมกอด
และพยายามหาทางออกจากคฤหาส์น
ที่เต็มไปด้วยไฟดั่งทะเลเพลิง "
.
เด็กน้อยผู้นั่ง เป็นประธานน้ำตาไหลริน
ภาพแห่งอดีตปรากฏขึ้น หญิงสาวแก่
วัยอาวุโส กั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว จึงไหลหลั่นเป็นสายธาร
และเธอเข้ากอดเด็กน้อย...เหล่าสาวใช้
เอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตา และร้องไห้ด้วยความสังเวช
ผู้คนให้ห้องโถงร้องไห้สะอึกสะอื้น
พอบทขับกล่อมจบลง เด็กน้อยตบมือ
.
"สมกับคำล่ำลือเสียจริงท่านหลวงพี่
บทกล่อมและเพลงพิณของท่าน ช่างหาฟังได้ยากยิ่ง
เป็นบุญและที่ข้าน้อยได้ฟัง"
.
"อย่าชมอาตมาเลยโยม
แค่อาตมาต้องการใช้เป็นคติสอนใจมนุษย์เท่านั้่น"
.
"ข้าน้อยชอบมากเลยท่านหลวงพี่
ท่านช่วยมาบรรเลงกล่อมข้าน้อยเช่นนี้ได้หรือไม่"
.
"อาตมายินดีหากโยมชอบ อาตมาก็จะมาให้"
.
"เดี๋ยวสาวใช้ข้าคนเดิม จะเป็นผู้รับหน้าที่
ไปรับท่านที่วัด แต่หลวงพี่โปรดอย่าบอกใคร
ว่าท่านมาบรรเลงขับกล่อมเพลงพิณแก่ข้าน้อยนะ
ข้ากลัวว่าชาวบ้าน จะหาว่าข้าบังคับ
พระผู้ทรงศีลมาทำอะไรตามใจตน"
.
"ได้โยม อาตมาชอบเสียอีก
ที่มีคนชอบบทกล่อมของอาตมา"
.
จากนั้นพระโฮอิชิก็ขึ้นรถม้ามาส่งยังวัด
ในขณะที่เจ้าอาวาสกลับก็เข้าถามพระโฮอิชิว่า
.
"เจ้าไปไหนมา"
.
"ข้าไปทำธุระมาท่านเจ้าอาวาส"
.
"ไม่เป็นไร หากเจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย
ก็ดีแล้วไปนอนเถิด"
.
"ขอรับท่านเจ้าอาวาส"
.
เจ้าอาวาสหันออกไปยังประตูวัด
ก็พบกับไฟวิญญาณ 2 ดวง ที่ทำท่าแอบอยู่ข้างประตู
เจ้าอาวาสจึงเริ่มสงสัย ว่าจะมีวิญญาณมายุ่งกับ
พระโฮอิชิซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่
ที่คนธรรมดาไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณ
จากนั้นต่อมาพระโฮอิชิ ก็ไปเล่นขับกล่อม
ให้เจ้านายน้อยเป็นประจำ
.


จนเจ้าอาวาสเริ่มสงสัย ในธุระส่วนตัวของพระโฮอิชิ
ท่านจึงสั่งให้เด็กวัด ตามพระโฮอิชิไป
และแล้วก็ปรากฏว่า พระโฮอิชิเดิมตาม
ดวงไฟวิญญาณ 2 ดวง ไปทางป่าช้าหลังวัด
เด็กวัดก็สะกดรอยตาม อย่างเงียบๆ
จนมาพบพระโฮอิชิ บรรเลงพิณและขับเพลงกล่อม
อยู่ท่ามกลางดวงไฟวิญญาณ จำนวนมาก
ท่ามกลางสุสานของตระกูลไฮเกะ
.
เด็กวัดจึงเข้าไปจับตัว พระโฮอิชิออก
และพากลับวัดไปหาเจ้าอาวาส
พระโฮอิชิกำลังโมโห ที่ถูกลักพาตัวมา
ในขณะที่กำลังบรรเลงเพลงพิณ
ต่อหน้าเจ้านายผู้ส่งศักดิ์ตัวน้อย
เจ้าอาวาสจึงกล่าวถามพระโฮอิชิว่า
.
"โฮอิชิเอย...เจ้าจงเล่ามานะ
ว่าเจ้าไปทำอะไรในตอนกลางคืน"
.
"กระผมแค่ถูกเชิญไปบรรเลงเพลงพิณ
ให้เจ้านายผู้สูงศักดิ์"
.
"เจ้าแน่ใจนะ...ว่าเจ้าไปบรรเลงเพลงใ้ห้คนฟัง"
.
"โธ่หลวงพ่อ...ก็มีคนมารับกระผม
ขึ้นรถม้าไปยังที่ประทับของเจ้านายน้อยผู้สูงศักดิ์"
.
"ที่เจ้าเด็กวัดว่าข้าว่า...
เจ้าไปบรรเลงเพลงอยู่ที่สุสานของตระกูลไฮเกะ"
.
"อะไรนะหลวงพ่อ"
.
"เจ้าไม่เชื่อก็ถามเจ้าเด็กวัดดูล่ะกัน"
.
"จริงครับ หลวงพี่ ผมเห็นกับตา
ว่ามีดวงไฟวิญญาณมากมาย
อยู่ท่ามกลางหลวงพี่และที่นั้น
เป็นสุสานตระกูลไฮเกะครับหลวงพี่"
.
พระโฮอิชิถึงกับอึ้งไปเลย
.
"เจ้านะตาบอด ผีมันก็เลยหลอกเจ้าไป
ถ้าข้าปล่อยเจ้าให้ไปบรรเลงอยู่กับวิญญาณ
เจ้าคงอายุสั้นแน่ๆ"
.
"หลวงพ่อครับ...กระผมมันเป็นคนตาบอด...
ผมจึงมิอาจจะรู้ได้เลยว่าใครผีใครคน"
.
"โฮอิชิ...ข้าว่าถ้าเจ้ายังอยู่
เหล่าวิญญาณน้อยต้องตามเอาตัวเจ้าแน่ๆ"
.
"เช่นนั้นผมควรทำอย่างไรขอรับ
หลวงพ่อช่วยกระผมด้วย"
.
"หากเป็นเช่นนั้น...."
เจ้าอาวาสให้พระโฮอิชิ ถอดผ้าออก
และท่านก็หยิบขวดน้ำหมึก กับ พู่กันอันเล็กมา
และจุ่มเขียนลงบนตัวของพระโฮอิชิ
เจ้าอาวาสเขียนตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์ เป็นยันต์ทั่วตัว
และลงอาคมคาถาป้องกัน ให้พ้นจากวิญญาณร้าย
เจ้าอาวาส ถูกนิมนต์ไป พร้อมกับพระภิกษุรูปอื่น
ไปสวดพิธีศพอีกที่หนึ่ง จึงต้องปล่อยพระโฮอิชิไว้อีก
แต่ท่านวางใจ เพราะท่านได้ลงยันต์ป้องกัน
ไว้ให้กับพระโฮอิชิ .....
(จะไม่ให้วางใจได้ไงล่ะ ก็เขียนยันต์ซะเต็มตัวเลงนี้)



.
พอตกกลางคืน พระโฮอิชิ
มานั่งที่ระเบียงรอเจ้าอาวาส กลับวัดอยู่นั้น
.
"ท่านหลวงพี่โฮอิชิเจ้าค่ะ...หลวงพี่เจ้าค่ะ
...ข้าน้อยมารับท่านแล้วค่ะ"
.
พระโฮอิชินั่งนิ่งแข็งตัว เสียงนั้น อยู่ไม่ไกลตัวท่านเลย
.
"ท่านหลวงพี่ค่ะ นายน้อยรออยู่นะค่ะท่านอยู่ไหนเนี้ย..."
.
สาวใช้อันเป็นวิญญาณร้าย เดินขึ้นบันได
มาถึงระเบียงที่พระโฮอิชิ นั่งอยู่
พร้อมกับชายขับรถม้า นี้พิณของหลวงพี่โฮอิชินี้
แต่ตัวท่านไปไหนนะ"
.
"เจ้าดูนั้นซิ...หู...."
.
"อะไรกันนี้หู...แล้วตัวไปไหน"
.
"เราจะทำให้ภารกิจครั้งนี้เสียไปไม่ได้...
ถึงจะไม่มีตัว แต่เราจะเอาหูไป
เราจะทำงานที่นายมอบมาให้เสียไม่ได้
ทำได้เท่าไหนก็ทำเท่านั้น"
.
ชายขับรถม้า ก็ดึงกระชากหูทั้งสองข้าง
และกำไว้ พระโฮอิชิถูกกระชากหูไป
ถึงจะเจ็บปวดทรมาน จนอยากจะร้องออกมา
สุดเสียงก็ตาม แต่ก็กลัวว่าผีจะจับได้จึงอดทนเงียบไว้
.
"จะดีหรือได้เพียงแค่หูไป..."
.
"เอ้าน่า...กลับไปหานายน้อยกัน"
.
ดวงวิญญาณ 2 ดวงก็ลอยออกไปจากวัด
พระโฮอิชิผู้น่าสงสาร หูของเขาขาดทั้ง 2 ข้าง
และเลือดก็ไหลรินมานองแก้ม
ท่านกลัวจึงไม่กล้าไปไหน จึงนั่งอยู่ที่ระเบียงนั้น
เจ้าอาวาสกลับมาถึงวัด ก็เข้าไปหาพระโฮอิชิ
และพบภาพที่พระโฮอิชิร้องไห้
สะอึกสะอื้นและไร้หูไปแล้ว
.
"โธ่ โฮอิชิผู้น่าสงสาร ข้าช่างแย่จริงๆเลย
ข้าไม่ไ้ด้เขียนยันต์ บริเวณหูของเจ้า....
นโมแด่พระพุทธองค์ อมิตาพุทธภะจะรักษ์พิทักษ์เจ้า...
ตอนนี้เจ้าจะรอดพ้นจากวิญญาณเหล่านั้นเลย..."
.



จากนั้นพระโฮอิชิ กลายเป็นพระตาบอด
และเป็นพระไม่มีหู เจ้าอาวาสให้หมอมารักษาแผล
ที่บริเวณหูจนหาย จากพระตาบอดมาถูกเรียกว่า
โฮอิชิไร้หู (เป็นเวรเป็นกรรมอะไรของท่านจริงๆ)
.
แต่เรื่องราวของพระโฮอิชิ ก็กลายเป็นที่ล่ำลือ
จนขนาดขุนนางและเศรษฐีก็เดินทาง
มาฟังเพลงพิณของพระโฮอิชิ
และได้ถวายปัจจัยและของมีค่าต่อวัด
จนวัดเป็นวัดที่มีทรัพย์ สามารถอุปถัมภ์
พระพุทธศาสนาได้ และได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์
เป็นรูปพระโฮอิชิ นั่งเล่นพิณและยังคงตั้งมาจนถึงทุกวันนี้.
...
เข้าร่วม: 17 Feb 2015
ตอบ: 6010
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Apr 26, 2018 10:20 am
[RE: ก็ในเมื่อ " ตาบอด " ... จะแยกแยะยังไงว่า " ใครเป็นคน ใครเป็นผี ".... !?]
ถ้าตาบอด แล้วเดินเข้าป่า
ผมว่าสิ่งที่น่ากลัว
น่าจะเป็น หนาม งู ตะขาบ แมงป่อง
มากกว่าผี
0
0