เมื่อพูดถึง "ผี" หรือ "วิญญาณ"
พวกเราชาวนอกรั้ววัง คงอยากจะได้ยิน
เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี" ในรั้ววังกันบ้าง
เราจึงไปเสาะหา จากนิตยสารหญิงไทย
มาให้อ่าน ขอนำเรื่องราวของ "โอปปาติกะ"
ที่มาปรากฏให้เห็น เฉพาะพระพักตร์ล้นเกล้าฯ
รัชกาลที่ 6 มาเล่าให้อ่าน...!!
.
เรื่อง นี้เกิดขึ้น ในสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
เมื่อครั้งที่พระองค์ ยังคงประทับอยู่ที่
พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันหนึ่งมีงานบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันเกิด
ท่านจอมพลเจ้าพระยาบดินทร์ เดชานุชิต เสนาบดี
กระทรวงกลาโหมในสมัยนั้น
ซึ่งล้นเกล้าฯรัชการที่ 6 ก็จะต้องไปในงานนี้ด้วย
การแต่งพระองค์ในวันนั้น ต้องทรงเครื่องยศ
ทหารรักษาวัง เพียงครึ่งยศ เพราะเจ้าพระยาบดินทร์
เดชานุชิตเป็นนายทหารพิเศษ
ประจำกรมทหารรักษาวัง และยังเป็น
งานแบบสโมสรกลางแจ้ง
.
งานในวันนี้ มีข้าราชบริพาร สมุหราชองครักษ์
และราชองครักษ์ เตรียมโดยเสด็จอย่างพรั่งพร้อม
เมื่อได้เวลาเสด็จพระราชดำเนิน พระองค์ก็ได้
เสด็จขึ้นประทับรถยนต์พระที่นั่ง ณ ทหารเรือ
ทหารม้า ทหารราบทั่วไปและตำรวจ
จะต้องมายืนรับเสด็จ อยู่ริมรถ พระที่นั่ง
ตามอย่างราชประเพณีเป็นปกติ และยังมี
ราชองครักษ์เวรสมทบราชองครักษ์ ประจำ
ซึ่งมีพันโทพระยาสรชาติ โยธี พั
นตรีหลวงอาจหาญณรงค์ นาวาโทหลวงสวัสดิ์
นาวายุทธ ร้อยเอกหลวงวรภักดิ์ภูบาล
และนายพันตำรวจโทหลวงอภิบาลนครเขตต์
.
นอก จากพระองค์จะทอดพระเนตร
เห็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว
ก็ยังทอดพระเนตรเห็น "พันเอกจมื่นฤทธิ์รณจักร"
ผู้บังคับกองพันทหารรักษาวัง
แต่งตัวเต็มยศมายืนอยู่ด้วยในหมู่ราชองครักษ์
.
โดยสวมหมวกแบบ นโปเลียนและมีปลอกคอ
ปลอกข้อมือ ใช้กระบี่แบบไทย หัวเป็นพญานาค
พระองค์ทรงตรัสเล่าให้ มหาเล็กคนสนิท
คือนายรองเล่ห์อาวุธ หรือ "จมื่นมานิตย์นเรศร์" ฟังว่า
เมื่อทอดพระเนตร เห็นก็ทรงฉงน
พระราชหฤทัยเหมือนกันว่าทำไม
"จมื่นฤทธิ์รณจักร" จึงแต่งกายเต็มยศ
แต่ก็มิได้ออกพระโอษฐ์กับใคร
แม้กระทั่งสมุหราชองครักษ์ทีโดยเสด็จฯ
ไปในรถพระที่นั่งนั้นด้วย
.
เมื่อ เสด็จฯมาถึง งานก็ทรงมีพระราชภาระ
ที่จะต้องพระราชทาน น้ำสังข์และทรงเจิม
ต้องพระราชทานประคำทองคำ กับแหวนนพเก้า
เป็นพิเศษตามอย่างโบราณ ราชประเพณีให้
แก่เจ้าพระยานาหมื่นชั้น แม่ทัพนายกอง
เป็นของขวัญและยังทรงมี พระราชภาระ
ทีจะต้องพระราชทาน พระบรมราโชวาทในงานเลี้ยง
เมื่อทรงพระราชทานพร และทอดพระเนตร
งานมหรสพจนเสร็จงาน ก็เป็นเวลาเกือบตีสาม
จึงเสด็จกลับพระตำหนัก
.
กระทั่ง ถึงตำหนักที่ประทับ ณ วังสวนจิตรลดา
ก็จะเสด็จเข้าห้องแต่งพระองค์
แต่ก่อนจะถึงห้องแต่งพระองค์ ได้เสด็จผ่านห้อง โถง
และได้ทอดพระเนตรเห็น พานกะไหล่ทอง
ซึ่งบนพานใบนั้น มีธูปกระแจะขนาดใหญ่
กับเทียนไส้ใหญ่อย่างละ 1 เล่ม แบบเผาศพ
พร้อมด้วยกระทงดอกไม้ตั้งอยู่
และยังมีข้อความเขียนไว้ว่า
"ดอกไม้ธูปเทียนของข้าพระพุทธเจ้า
จมื่นฤทธิ์รณจักร ขอพระราชทานทูลเกล้า
ทูลกระหม่อมถวายบังคมลาไปปรโลก"
.
สิ่ง ที่นำมาถวายและข้อความที่เขียนไว้นี้
เป็นแบบอย่าง การถวายบังคมทูลลาตาย
ของพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร
ซึ่งทรงรู้จักคุ้นเคย โดยครอบครัวผู้ตาย
จะจัดขึ้นทูลเกล้าฯถวาย จากนั้นพระองค์
ก็จะโปรดเกล้าฯให้มหาดเล็กรับใช้
หรือ มหาดเล็กห้องที่พระบรรทม
นำไปจุดบูชาที่หอพระ
.
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว
ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น
ก็ให้ฉงนในพระราชหฤทัยไม่ใช่น้อย
จึงโปรดฯให้มหาดเล็ก เวรเชิญพระราชกระแสไปสอบถาม
เพื่อให้แน่แก่พระทัย ที่บ้านจมื่นฤทธิ์รณจักร
มหาดเล็กก็กลับมา ถวายบังคมทูลพระกรุณาว่า
.
"จมื่นฤทธิ์รณจักร ถึงแก่กรรมแล้วเมื่อเช้านี้
และในตอนเย็นก็ได้รับพระราชทาน
น้ำหลวงอาบศพ ทางครอบครัวได้แต่งตัวศพ
ด้วยเครื่องเต็มยศทั้งชุดของทหารรักษาวัง"
.
เมื่อ ความได้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเช่นนั้น
พระองค์ทรงเสียพระราชหฤทัย
และเสียดายจมื่นฤทธิ์รณจักร เป็นอย่างมาก
ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า "จมื่นฤทธิ์รณจักร แกรักฉัน
อุตส่าห์นำวิญญาณ ในเครื่องแบบเต็มยศมาลาฉัน"
.
"จมื่น ฤทธิ์ รณจักร" ผู้นี้ เป็นนายทหาร
ที่มีตำแหน่งเป็นถึง ผู้บังคับกองพันทหารรักษาวัง
และราชองครักษ์ เป็นนายทหารที่ล้นเกล้าฯ
รัชกาลที่ 6 ไว้วางพระราชหฤทัย
ทรงโปรดปรานสนิทสนม ด้วยเป็นอย่างมาก
.
ดังนั้นในงานศพของนายทหารท่านนี้
พระองค์จึงโปรดเกล้าฯพระราชทาน
พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นค่าจัดงานศพ
ตลอดงานนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่
ครอบครัวจมื่นฤทธิ์รณจักรสุดคณานับ
.
เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องที่เชื่อ ถือได้
เพราะผู้เล่าคือ จมื่นมานิตย์นเรศร์มหาดเล็กคนสนิท
ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ซึ่งได้เล่าไว้ในรายการ
รอบเมืองไทย ทางวิทยุ ท.ท.ท.
ออกอากาศเมื่อหลายสิบปีก่อน .
....