ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว วันที่ 5 มีนาคม 2014 ไทยลงแข่ง เอเชียนคัพ รอบคัดเลือกเกมสุดท้ายกับ เลบานอน
จริงๆไทยตกรอบไปนานแล้วด้วยผลงานแพ้รวด ใน 5 เกมแรก คือไม่มีลุ้นอะไรอีกแล้ว แค่เล่นให้ครบโปรแกรม
ที่สนามราชมังฯ ในวันนั้น ประเมินด้วยสายตา มีคนดูไม่เกิน 2000 คน จากความจุราว 5 หมื่นที่นั่ง
ความน่าสนใจในเกมนั้น คือ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตัดสินใจรับงาน คุมทีมชาติชุดใหญ่อย่างเป็นทางการ
ด้วยความหวังของแฟนบอล ว่าฮีโร่ของชาติอาจสามารถกอบกู้ ให้ทีมช้างศึกให้แข็งแกร่งขึ้น
แต่ในเกมนั้น ฮีโร่ก็ไม่ช่วยอะไร ..
ไทยแพ้เลบานอนคาบ้าน 2-5 สกอร์เดียวกับที่เราไปเยือน เท่ากับว่า 2 นัด ที่เจอกัน ไทยแพ้รวด ยิงได้ 4 และเสียไป 10 ประตู
กับทีมระดับกลางๆของเอเชีย เรายังเละเทะขนาดนั้น
เพราะซิโก้ไม่ใช่เทวดา ที่พอย้ายมาคุมแล้ว ทีมจะดีขึ้น การไปหวังว่าอะไรจะดีขึ้นแค่เปลี่ยนโค้ชคนเดียวเป็นเรื่องเพ้อฝัน
ตอนนั้น ความรู้สึกของแฟนบอลไทย เหมือนอยู่ใน ถ้ำที่มืดมิด ไม่เห็นทางออก ทุกอย่างมืดมนไปหมด ไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน
-----------------------------------
ปัญหาของทีมชาติไทย ในตอนนั้น มีอยู่สองข้อใหญ่ๆ
1) ฟอร์มในสนามย่ำแย่ สู้กับชาติใหญ่ก็แพ้เละ สู้กับชาติในอาเซียนก็หืดขึ้นคอตลอด แต่ละนัดไปตามดวง ไม่มีสไตล์การเล่นที่ชัดเจน หวังใช้แต่ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่น
2) ศรัทธาแฟนบอลหดหาย แต่ละเกมของทีมชาติ มีคนมาดูบอลในสนามหลักร้อย อย่างเก่งหน่อยก็หลักพัน ทีมชาติตอนนั้น มันไม่มีเสน่ห์ดึงดูด ให้คนยอมเสียเงินเข้าไปชมในสนามเลยสักนิด
จะว่าไปแล้ว ซิโก้ เข้ามารับเผือกร้อน เพราะใครๆก็ไม่อยากมาเสียเครดิตกับการคุมทีมชาติ ต้องยอมรับว่า ณ ตอนนั้น มันมีที่จะเข้าเนื้อ เสียงโดนด่า มากกว่าโดนชม
แต่ซิโก้ สุดท้ายก็กล้าพอที่จะรับงาน โดยมีโจทย์ใหญ่ คือต้องพยายามคิดวิธีแก้ปัญหาใหญ่ทั้ง 2 ข้อนี้
และในที่สุด เขาก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ มันเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ไขทั้งสองเรื่องได้พร้อมกัน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
นั่นคือการสร้างสไตล์การเล่นแบบ "ติ๊กต่อก"
เมื่อก่อน มันก็น่าแปลก ทั้งๆที่ไทย เป็นชาติเอเชียที่มีรูปร่างเล็ก แต่เรากลับชอบเล่นลูกกลางอากาศ ชอบโยนบอลยาวแบบไร้จุดหมาย
แต่การมาของ ระบบ "ติ๊กต่อก" (ติกี้-ตาก้า) ชิ่งสั้นๆ ต่อบอลกันแบบวันทัช นักเตะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วแม้ในยามที่ไม่มีบอล มันได้ปฏิวัติการเล่นของไทยอย่างสิ้นเชิง
ผู้เล่นไทย มีความคล่องตัวสูง มีความเร็ว แต่โครงสร้างร่างกายเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนชาติอื่น ดังนั้น แผนการชิ่งกันอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรง จึงเป็นสไตล์ที่เหมาะมากกับสรีระของคนไทย
มันทำให้นักเตะอย่างชนาธิป สรงกระสินธ์ (สูง 158 ซม.) , เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ (สูง 162 ซม.) หรือ สารัช อยู่เย็น (สูง 168 ซม.) ได้มีโอกาสแจ้งเกิด เพราะมันแสดงให้เห็นว่า ถ้าคุณมีทักษะที่ดี แม้จะตัวเล็ก แต่ก็สามารถดึงจุดเด่นออกมาใช้การได้
หลังจากที่งมอยู่นาน ในที่สุดปัญหา ข้อ 1) ก็ดูเหมือนจะแก้ไขได้ ซิโก้ สร้างดีเอ็นเอ การเล่นบอลสั้นอันสวยงามขึ้นมา กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของทีมช้างศึกไปเลย
สื่อต่างชาติชื่นชมแนวทางของไทย ขณะที่ผลงานในสนาม เราได้แชมป์ซูซูกิคัพ 2 สมัย , ได้แชมป์ซีเกมส์ และ เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก
จากนั้น เมื่อเล่นฟุตบอลได้สวยงาม ทีมเริ่มคว้าชัยชนะได้สำเร็จ นั่นทำให้ ปัญหาข้อ 2) คือการเสื่อมความนิยมของบอลไทย มันถูกแก้ไขไปด้วย
แฟนบอลที่เคยปฏิเสธ ไม่อยากเข้ามาดูในสนาม กลับยอมซื้อตั๋ว เพื่อเข้าชมความยอดเยี่ยมของทีมชาติ หากเล่นบอลสวย น่าประทับใจ ใครๆก็อยากดู
จากที่มีคนเคยแซวว่า "วันนี้ที่สนามบอล ไม่มีที่นั่งนะ มีแต่ที่นอน" กลับกลายเป็นว่า ความคลั่งไคล้ในทีมชาติ กลับพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตั๋วทีมช้างศึกลงแข่ง ราว 5 หมื่นใบ ขายหมดในเวลาแค่ 1 วัน
ไม่ใช่แค่ทีมชุดใหญ่ แต่ทีมชุดเยาวชน ก็ได้รับความสนใจจากแฟนๆอย่างล้นหลาม คือเป็นช่วงที่ช้างศึกฟีเวอร์อย่างแท้จริง
หากในตอนแรก เราเปรียบว่า ตัวเองเหมือนอยู่ในถ้ำที่มืดมิด การค้นพบระบบติกี้-ตาก้า ก็เหมือนเราไปค้นพบ เทียนที่จุดไฟอยู่หนึ่งเล่ม
เทียนเล่มนี้ แม้มันจะไม่สว่าง ขนาดส่องหาทางออกให้เราได้ แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นอะไรชัดขึ้น และมันก็ดีกว่า เดินหาทางออกไปเรื่อยๆ โดยไม่เห็นอะไรเลย
-----------------------------------
หลังจากซิโก้ พาทีมแพ้ซาอุดิอาระเบียคาบ้าน ตามด้วยแพ้ญี่ปุ่น 4-0 ในฟุตบอลโลก
สไตล์ติ๊กต่อก ที่เคยสร้างความภูมิใจให้คนไทย กลับโดนแฟนบอลบางส่วนหมางเมิน บางคนบอกว่า ก็เพราะสไตล์แบบนี้นั่นแหละ ทำให้ไทยไม่ไปถึงไหน
ซิโก้ โดนปลดจากตำแหน่ง ไทยแต่งตั้งมิโลวาน ราเยวัช เฮดโค้ชเซอร์เบีย รับงานแทนซึ่งหลังจากนั้นมา เราจะเห็นได้เลยว่า สไตล์ติ๊กต่อก โดนโละทิ้งไปแล้ว
ทีมชาติชุดนี้ ไม่มีการทำชิ่งกันอย่างสวยๆเนียนตา แต่กลับเลือกใช้การตั้งรับแล้วโต้กลับเร็ว
จากเดิมที่จะครองบอลให้เยอะ ให้นาน กลับครองบอลน้อยลง จากที่เน้นไปที่เกมรุก กลับเลือกจะเน้นไปที่เกมรับ
ไม่ใช่แค่กับชุดใหญ่ แต่แนวทางของชุดเยาวชน ก็ไปในทางเดียวกัน คือไม่ได้เล่นเกมรุกที่สวยงามเหมือนอดีตอีกเลย
เราไม่ได้บอกว่า การเล่นสไตล์นี้ไม่ดี แต่คำถามคือ มันเข้ากับนักเตะไทยมากกว่า ติกี้-ตาก้าหรือไม่
นักเตะไทย เหมาะกับการเล่นเกมไดเร็กต์ โยนยาวทีเดียวไปถึงกองหน้า หรือ เหมาะกับชิ่งสั้นๆหาพื้นที่มากกว่า
เรื่องนี้มันเห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว
-----------------------------------------
คุณจะรัก หรือจะเกลียดซิโก้ ก็ไม่แปลก
คุณคิดว่าซิโก้ควรอยู่ต่อ หรือ ซิโก้ สมควรโดนเด้ง มันก็มีสิทธิคิดได้ทั้งนั้น
แต่ผมเชื่อว่า สิ่งดีๆที่เขาเคยสร้างเอาไว้ มันไม่จำเป็นเลยที่ต้องโละทิ้งทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น ไอเดียการสร้างนักเตะให้เป็นสตาร์ เพื่อทำให้นักเตะมีมูลค่า ทำให้เด็กๆมีความใฝ่ฝันที่จะติดทีมชาติ
หรือการปลูกฝัง นักเตะให้เป็นสุภาพบุรุษทั้งใน และนอกสนาม
และแน่นอน กับระบบติ๊กต่อก ที่เราใช้แล้วมันพิสูจน์แล้วว่าเวิร์ก
ในเมื่อเราเจอสไตล์ที่เหมาะสมกับฟุตบอลไทยแล้ว มันก็น่าจะดีกว่า ถ้าเราพัฒนามันให้แข็งแกร่งขึ้น จนเป็นเอกลักษณ์ของทีมชาติไทยไปเลย ไม่ใช่เปลี่ยนไปมา ไม่มีวันสิ้นสุดอย่างนี้
เหมือนเราอยู่ในถ้ำที่มืดมิด แล้ววันหนึ่งได้เทียนที่มีแสงไฟอยู่ในมือ
เราควรเห็นคุณค่าของเทียนเล่มนั้น เพราะแสงสว่างแม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้เราเจอทางออกจากถ้ำได้
หรือเราจะคิดว่า เทียนเล่มนี้ แสงไฟมันช่างกระจ้อยร่อยเหลือเกิน ถือไปก็หนัก ว่าแล้วก็เป่ามันให้ดับซะ
และ พอเทียนดับแล้ว รู้ตัวอีกที เราก็ต้องมาอยู่ในความมืดมิด ที่ไร้ทางออกเหมือนเดิม
เพจ - วิเคราะห์บอลจริงจัง
เห็นต่างได้นะครับ ถกกันด้วยเหตุผล