ทำไมคนในปัจจุบันหรือในอนาคต ถึงไว้ใจเทคโนโลยี อย่างเช่น คลาวด์ หรือบล็อคเชนต่างๆ ที่ไว้สำหรับเก็บข้อมูลสำคัญๆ ข้อมูลทางการเงินต่างๆ ว่ามีความปลอดภัยสูง เจาะระบบยาก นู้นนี่ ทั้งที่จริงๆ เเล้วระบบพวกนี้ถูกเขียนหรือคิดค้น หรือวางระบบโดยมาจากมนุษย์ ถ้ามนุษย์เขียนระบบก็จะรู้ช่องโหว่ รู้บั๊คต่างๆ อยู่เเล้ว รอวันที่คนสร้างจะเจาะระบบ เอาข้อมูลใช้หรือแฮคข้อมูลอยู่ดี

ถ้าแบบในหนังพวก AI Skynet ไรงี้ ระบบคอมมันออกแบบเอง แล้วให้คนไปใช้งาน ไม่ยอมให้คนแฮกแบบนี้น่าจะดีหรือเปล่าครับ

ไม่กลัวอยู่แล้ว ยิ่งข้อมูลทางการเงินของผม พวกแฮ๊คเกอร์ไม่มีทางเอาไปได้

มีระบบป้องกันอย่างดี ?

เพราะมนุษษย์เป็นคนสร้าง/วางระบบ
แต่มนุษย์ไม่ได้อยู่ใน Process นั้นๆคับ
พอไม่มี มนุษย์ใน Process มันก็ทำงานตามลำดับที่วางไว้ไปเรื่อยๆ
มันก็เกิด Human Error น้อยกว่าครับถ้าเทียบกับระบบ Physical ที่มีมนุษย์เข้าไปทำตั้งแต่ ใส่ข้อมูล-ประมวลผล - จัดเก็บ
มนุษย์มีโอกาสจะทำให้ระบบเกิดความผิดพลาดได้มากกว่า

ระบบจัดเก็บที่ถูกจัดการด้วยระบบเอง
ก็ย่อมไว้ใจได้มากกว่าระบบจัดเก็บที่มนุษย์ป็นคนจัดการ อะไรแบบนั้น

ส่วนถ้าวันไหนผู้คิดค้นเป็นคนเจาะซะเอง ก็รอวันล่มสลายของระบบครับ แค่นั้นแหละ

แล้วจะให้เก็บที่ไหนหรอครับ

จะเก็บในบ้านก็ไม่คิดว่าจะเกิดไฟไหม้หรือโจรขึ้นบ้านมั่งหรอ

หรือจะใช้ฝังดินแบบโบราณ อันนี้ก็อาจมีคนรู้ได้อยู่ดี

ผมว่าเก็บที่ไหนมันก็โดนขโมยได้ทั้งนั้นครับ แต่เก็บบนเน็ตตอนนี้ถือว่าปลอดภัยสุด

เพราะคนงัดบ้านเป็น กับคนแฮคเป็น อย่างหลังมันมีน้อยกว่า

เปล่า ในบัญชีไม่มีเงิน แฮร่!!!!

ใส่ไหฝังดินก็โดนปลวกกินอยู่ดี

ก็นึกว่าระบบป้องกันขั้นเทพ

อ้อ ระบบป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการไม่มีอะไรให้ขโมยนี่เอง

เฉียบ

ผมก็ไม่เชื่อถือครับ

ทุกวันนี้ผมมัดหนังยางไว้กับเสื้อที่ใส่อยู่ตลอด
ลำบากนิดเวลาแกะออกมาจ่ายตัง แต่รับได้ครับ

เพราะมันไม่มีให้ hacker เอาไป ???????

ตอนแกะมันร่วงเหรอครับ

ยางดีดนิ้วครับ เจ็บเป็นบ้า

คลาวด์ เหมาะกับองค์กรระดับกลางลงล่างไม่ต้องใช้ความปลอดภัยมากนัก แต่ราคาตอบโจทย์

งั้นทำไมไว้ใจฝากเงินไว้กับธนาคารล่ะครับ
ไอ้ที่ทำงานกันอยู่ในนั้นก็คนทั้งนั้น

หรือทำไมถึงใว้ใจซื้อตู้เซฟมาเก็บเงิน
ในเมืิ่อคนสร้างตู้เซฟมันก็คนนี่แหละ ไม่กลัวมาตามมาแอบเปิดถึงบ้านหรอ

เป็นถึงคนทำตู้เซฟ แค่ประตูบ้านคงไม่ใช่ปัญหาหรอกมั้ง

พูดตรงๆว่ามันไม่มีอะไรไว้ใจได้ 100 percent แน่ๆแหละครับ ทั้งในแง่

1. จุดอ่อนของตัวมันเอง(ที่ผู้สร้างไม่ได้ตั้งใจให้เกิด)

ในทางปฏิบัติมันยากมาก จนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ ที่ระบบมันจะปลอดภัยแบบ 100%
จะเห็นได้ว่า ล่าสุดนี่ก็กรณีข่าวใหญ่ของ meltdown/spectre

เป็นความเสี่ยงที่ต้องทำใจรับกับมัน อาศัยความไว้ใจว่า ผู้ให้บริการ
เช่น Google/Amazon/Microsoft เขาจะแก้ปัญหาในการอุดช่องโหว่ได้เร็ว

สรุปคือ ช่องโหว่มันเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่มีความปลอดภัยแบบสมบูรณ์
ทุกองค์กรมีความเสี่ยงที่ต้องรับ ต้องไปบริหารจัดการกันเอง

**นอกเรื่อง : ถ้าใครบอกว่า Offline ทุกอย่าง แล้วจะปลอดภัย
อยากให้ลองไปอ่านกรณีของ Stuxnet ที่โรงงานนิวเคลียร์โดน Hack ดูนะครับ

เพราะงั้น ต่อให้ Offline หมด ก็ไม่ใช่จะปลอดภัยสมบูรณ์อยู่ดี

-----------------------------------------------------------

2. จากความไม่โปร่งใส/การทุจริต(แบบที่เจ้าของกระทู้กลัว)

ข้อนี้จริงๆเจ้าของกระทู้ก็พูดถูกนั่นแหละครับ คือ เราไม่ได้สร้างเอง
แต่อาศัยว่า "ไว้ใจ" เฉยๆ

เหมือนเราใช้ Windows/Android/iOS ผมถามบ้างว่า
ทำไมเราไม่กลัวว่า มันจะแอบเก็บข้อมูลส่วนตัวของเราออกไป ? ... ผมก็กลัว 555

ถ้าเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ เช่น Google/Amazon/Microsoft และอื่นๆ
พวกนี้ความน่าเชือถือสูงนะครับ องค์กรเขาถึงกล้าใช้บริการ

ในประเด็นที่ท่านสงสัยว่า ช่องโหว่หรือการโดน Hack มันจะมาจากการทุจริต
ของคนที่สร้าง Cloud ... ส่วนตัวผมมองว่าเกิดขึ้นได้ยากครับ

เพราะ แบรนด์ใหญ่ๆ ทีมที่สร้าง/ทีมบริหาร เขาย่อมมี Internal Control ที่ดี
ไม่ใช่ใครคิดจะทำไรบ้าๆก็ทำได้ มันมีการควบคุมตรวจสอบ การ Audit

หรือถึงพลาด มีคนตั้งใจทุจริต ใส่ code แปลกๆลงไป ผมก็ว่ามันจะตรวจจับได้เร็ว
และผมเชื่อว่า แบรนด์ใหญ่ๆพวกนี้ เขาพยายามสุดตัวในการไม่ให้เหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้น
เพราะเกิดขึ้นแล้ว เขาเสียหายครับ อาจจะถึงขั้นธุรกิจล้มไปเลย เพราะเสียความน่าเชื่อถือ

ที่สำคัญคือ แรงจูงใจในการจะทำ มันน้อยมากๆครับ
จะมาขโมยเงิน/ข้อมูล ของลูกค้าตัวเองไม่กี่คนทำไม
ถ้าทำแล้วธุรกิจทั้งหมดของตัวเองเจ๊งลงไป

เค้าออกแบบให้มันมีประตูทางเข้าออกทางเดียวครับ

ไม่ได้ออกแบบให้มันมีหน้าต่างมาด้วย

o่าจะเป็นเพราะเป็นการสำรองข้อมูลด้วยแหละครับ

ใช้ HDD Ext ก็บอร์ดเสีย เปิดไม่ได้ก็ซวยไปเหมือนๆกันครับ

ก็ถือว่าใช้ Back up ข้อมูลกันไป

ที่ถามมานี่เข้าใจในกรรมวิธี และขั้นตอนของ blockchain แค่ไหนครับ