'กรมอนามัย' ฝังยาคุมกึ่งถาวรวัยรุ่นฟรี ป้องกันท้องไม่พร้อม
'กรมอนามัย' ร่วมกับสปสช.ให้บริการฝังยาคุมกึ่งถาวรวัยรุ่นฟรี โดยเข้ารับบริการได้ที่สถานบริการที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น
เมื่อวันที่ 12 ต.ค.60 นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่นและปัญหาการคลอดซ้ำในวัยรุ่น ยังเป็นเรื่องที่น่าห่วง การคุมกำเนิดจึงจำเป็นสำหรับวัยเจริญพันธุ์ในระยะที่ ไม่พร้อม ได้แก่ กลุ่มวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 10 ปีบริบูรณ์ จนถึงก่อน 20 ปีบริบูรณ์ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว กรมอนามัยได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเพื่อให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการคุมกำเนิดชนิดกึ่งถาวร โดยวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ สามารถขอรับบริการคุมกำเนิดโดยการใช้ยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัย ซึ่งเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ได้ฟรี ณ สถานบริการที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่งทั่วประเทศ
"นอกจากนี้ ปัจจุบันได้มีการป้องกัน และแก้ไขปัญหานี้ด้วยมาตรการทางกฎหมายอีกทางหนึ่งด้วย ได้แก่ พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งจะส่งผลเด็กและเยาวชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ 5 เรื่องที่สำคัญ คือ 1) สถานศึกษาต้องจัดให้มีการสอนเพศวิถีศึกษาอย่างเหมาะสม จัดหาและพัฒนาผู้สอนเพศวิถีศึกษา การให้คำปรึกษา ช่วยเหลือและคุ้มครองวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษาต่ออย่างเหมาะสม รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 2) สถานบริการต้องให้ข้อมูลความรู้และจัดบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 3) สถานประกอบกิจการต้องให้ข้อมูลความรู้และส่งเสริมให้เข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 4) การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และ5) ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อคุ้มครองสิทธิของวัยรุ่น” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
เครดิต
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/776814
ยาฝังคุมกำเนิด
ยาฝังคุมกำเนิด หรือ ยาคุมกำเนิดแบบฝัง (Contraceptive implant หรือ Implantable contraception) คือ วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง โดยเป็นการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสติน (Progestin) ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็ก ๆ ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันชนิดกลม นำมาฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านที่ไม่ถนัด ซึ่งฮอร์โมนจะค่อย ๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกายและไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ในอดีตยาฝังคุมกำเนิดจะเป็นฮอร์โมนที่บรรจุอยู่ในแท่งพลาสติกขนาดเล็กจำนวน 6 แท่ง (แต่ละแท่งมีขนาด 3.4 x 0.24 เซนติเมตร) ใช้สำหรับฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังใต้ท้องแขนทั้ง 6 แท่ง (ฝังเป็นรูปพัด) สามารถช่วยคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี เช่น ยา Norplant® (นอร์แพลนท์) ก่อนฝังจะต้องฉีดยาชาก่อน แล้วหมอจะใช้เข็มขนาดใหญ่เป็นตัวนำ ขั้นตอนการทำนั้นไม่ยุ่งยากครับ แต่จะมีปัญหาในเรื่องการถอดออก เพราะจะใช้เวลาในการถอดนานพอสมควร จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในอดีต
แต่ในปัจจุบันยาฝังคุมกำเนิดแบบใหม่ได้มีการพัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยจะใช้เพียงแค่ 1 แท่ง ฝังเข้าที่ใต้ผิวหนังใต้ท้องแขน เช่น Implanon® (อิมพลานอน) ตัวแท่งมีขนาด 4.0 x 0.20 เซนติเมตร มีชุดฝังบรรจุเสร็จพร้อมใช้งาน ทำให้ฝังได้สะดวกขึ้นมาก แต่จะคุมกำเนิดได้น้อย เพียง 3 ปี เนื่องจากมีแค่หลอดเดียว เมื่อครบกำหนดก็สามารถถอดออกได้โดยง่าย ถ้าต้องการจะคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ต่อก็สามารถฝังแท่งใหม่เข้าไปได้เลย นอกจากชนิด 1 แท่ง คุมกำเนิดได้ 3 ปี แล้ว ยังมีอีกชนิดหนึ่งที่สามารถใช้คุมกำเนิดได้นานถึง 5 ปี คือ Jadelle® (จาเดลล์) ตัวแท่งมีขนาด 4.3 x 0.25 เซนติเมตร มีอยู่ด้วยกัน 2 แท่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วิธีการคุมกำเนิดแบบฝังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนอาการข้างเคียงก็จะคล้าย ๆ กับการฉีดยาคุมกำเนิดครับ แต่จะดีกว่าตรงที่ไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงของประจำเดือนน้อยกว่า
การออกฤทธิ์ของยาฝังคุมกำเนิด
ยาฝังคุมกําเนิด ประกอบไปด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงชนิดเดียว จึงทำให้ไม่มีผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เหมือนกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด (ฮอร์โมนรวม) โดยฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาจากแท่งยาฝังคุมกำเนิดจะมีผลทำให้ฟองไข่ไม่พัฒนา จึงไม่สามารถโตต่อไปจนตกไข่ได้ เมื่อไม่มีไข่ที่จะรอผสมกับเชื้ออสุจิ จึงไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ ฮอร์โมนโปรเจสตินที่ปล่อยออกมายังทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น ส่งผลให้เชื้ออสุจิว่ายผ่านเข้าไปยาก จึงช่วยลดโอกาสเกิดการผสมกับไข่ได้อีกทางหนึ่ง โดยยาฝังคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ดังนี้
Implanon® (ฝัง 1 แท่ง คุมกำเนิด 3 ปี) จะเป็นฮอร์โมน Etonogestrel 68 มิลลิกรัม แท่งยาฝังจะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 70-60 ไมโครกรัม
Jadelle® (ฝัง 2 แท่ง คุมกำเนิด 5 ปี) จะเป็นฮอร์โมน Levonorgestrel 75 มิลลิกรัม ที่ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 100-40 ไมโครกรัม ซึ่งระดับฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาจะสูงในช่วงแรก ๆ แล้วจะค่อย ๆ ลดลงจนคงที่ระยะเวลาต่อมา
ประสิทธิภาพของยาฝังคุมกำเนิด
ถ้าจะบอกว่า “ยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงสุด” ก็คงจะไม่ผิด เพราะมีโอกาสล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้น้อยมากรองจาก “การไม่มีเพศสัมพันธ์” เท่านั้น !! โดยจะมีโอกาสล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียง 0.05% (1 ใน 2,000 คน) ถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่า แล้วการทำหมัน การฉีดยาคุมกำเนิด รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด การใส่ห่วงอนามัย รวมถึงการสวมถุงยางอนามัยล่ะ ไม่ใช่วิธีการคุมกำเนิดที่มีอัตราการล้มเหลวต่ำที่สุดหรือ ? ขอตอบเลยว่า “ยังไม่ใช่” ครับ
เนื่องจากการทำหมันชายยังมีโอกาสล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้อยู่ คือ 0.1% (1 ใน 666 คน), ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Cyclofem®) และการใส่ห่วงอนามัยชนิดโปรเจสโตเจนจะมีโอกาสล้มเหลวได้เท่ากัน คือ 0.2% (1 ใน 500 คน), ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Depo-Provera®) เท่ากับ 0.2% (อัตราทั่วไป 6%), ยาเม็ดคุมกำเนิด เท่ากับ 0.3% (อัตราทั่วไป 9% หรือ 1 ใน 11 คน), การทำหมันหญิงแบบผูกท่อนำไข่ (Tubal ligation) เท่ากับ 0.5% (1 ใน 384 คน), การใส่ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง เท่ากับ 0.6% (อัตราทั่วไป 0.8% หรือ 1 ใน 125 คน) และการสวมถุงยางอนามัย เท่ากับ 2% (อัตราทั่วไป 18% ที่จะล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์) ฯลฯ จากข้อมูลเหล่านี้จึงอาจระบุได้ว่า “ยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีอัตราการล้มเหลวน้อยที่สุดในโลก” เลยก็ว่าได้ !!
ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด
ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก (สูงที่สุดในโลก) รองจากการไม่มีเพศสัมพันธ์ ชนิดที่ว่ายาเม็ดคุมกำเนิดก็เทียบไม่ติด !!
เป็นวิธีที่มีความสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี (แล้วแต่ชนิดของยา)
ไม่ต้องรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดทุกวัน จึงช่วยลดโอกาสการลืมกินยา หรือลดโอกาสฉีดยาคุมคลาดเคลื่อนไม่ตรงกำหนด ที่ต้องไปฉีดยาทุก ๆ 1-3 เดือน
เนื่องจากยาฉีดคุมกำเนิดมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว จึงทำให้ไม่ได้รับผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเหมือนการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เป็นฝ้า ฯลฯ
สามารถเลิกใช้เมื่อใดก็ได้ เมื่อต้องการจะมีบุตรหรือเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
ใช้ได้ดีในผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะไม่มีผลต่อการหลั่งของน้ำนม
ไม่ทำให้การทำงานของตับเปลี่ยนแปลง
หลังจากถอดออกจะสามารถมีลูกได้เร็วกว่าการฉีดยาคุมกำเนิด เนื่องจากฮอร์โมนกระจายออกในปริมาณน้อยและไม่มีการสะสมในร่างกาย
มีผลพลอยได้จากการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น ทำให้อาการปวดประจำเดือนมีน้อยลง, ลดโอกาสการตั้งครรภ์นอกมดลูก, ป้องกันการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, ลดอุบัติการณ์ของภาวะโลหิตจาง ฯลฯ
ข้อเสียของยาฝังคุมกำเนิด
การฝังและการถอดจะต้องทำโดยแพทย์ที่ได้รับการอบรมแล้ว (ไม่สามารถถอดหรือฝังโดยแพทย์ทั่วไปได้) จึงไม่สามารถใช้หรือถอดได้เอง
ในบางรายสามารถคลำแท่งยาในบริเวณท้องแขนได้
ประจำเดือนอาจมาแบบกะปริดกะปรอย จึงทำให้ต้องใส่ผ้าอนามัยอยู่เสมอ จะไม่ใส่ก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งหลาย ๆ คน กังวลกับปัญหาเหล่านี้ (แต่เมื่อผ่านระยะหนึ่งปีขึ้นไปแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะน้อยลง)
อาจพบภาวะแทรกซ้อนหลังการฝังยาคุมกำเนิดได้ เช่น มีก้อนเลือดคั่งบริเวณที่กรีดผิวหนัง
อาจพบว่าตำแหน่งของแท่งยาเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม (พบได้น้อย)
อ้างอิง
https://medthai.com/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94/
เพื่อป้องกันการท้องก่อนวัย ผมว่าดี