เจาะ 3 จุดตัดสิน “แดงเดือด” ภาคแรก
1. การพัก International Break
โปรแกรม “ฟีฟ่าเดย์” ทีมชาติ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะกล่าวได้ว่า เป็น “เบรก” พักใจให้กับลิเวอร์พูลที่ฟอร์มกำลังแกว่ง และเยอร์เก้น คลอปป์ ได้ใช้เวลา “ทบทวน” สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เปิดฤดูกาลที่ทำ “แต้มหล่น” เป็นว่าเล่นตั้งแต่นัดเปิดสนามกับวัตฟอร์ดยันนัดทิ้งท้ายเสมอ 1-1 กับนิวคาสเซิล อย่างไรก็ดี ลิเวอร์พูลต้องแลก “เวลาพัก” ด้วยการเสีย ซาดิโอ มาเน่ ที่เจ็บกล้ามเนื้อโคนขา 6 สัปดาห์ในเวลาที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังสะสม “โมเมนตัม” ชัยชนะอย่างต่อเนื่องต้องหยุดกระทำการชั่วคราว แถมยังต้องกลับมาเล่นเกมแรกด้วยการเยือน แอนฟิลด์ สนามที่ไม่เคยง่ายกับพวกเค้า และตัวกุนซือ โจเซ่ มูรินโญ่
ปัจจัยจากการพักไปนี้ และการไม่ได้มี “เทรนนิ่งโปรแกรม” อย่างเหมาะสมทั้งการฟื้นฟูร่างกาย และเตรียมการซ้อมเพื่อศึกใหญ่ระดับ “แดงเดือด” จึงน่าสนใจอย่างยิ่งว่า ทั้ง 2 ทีมจะกลับมาเตะเกมแรกด้วยสภาพ และสภาวะความพร้อมทีมทั้งกาย และใจขนาดไหน ณ จุดที่ “ซูเปอร์บิ๊กแมตช์” นัดนี้จะเป็นบทพิสูจน์ และ “จุดเปลี่ยน” สำคัญของทั้งหงส์ และผี
2. Key Battles
อาจารย์ “ยัง” vs โม ซาลาห์
แอชลีย์ (อาจารย์) ยัง ลงสนามในฐานะแบ็คซ้ายให้ทีมในพรีเมียร์ลีก มาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน และถือว่า ทำผลงานได้ดีโดยเฉพาะการเติมเกมรุกตามสไตล์มิดฟิลด์ย้ายมาเล่นแบ็คที่หาก “ปรับตัว” ได้แล้วจะกลายเป็นมิติใหม่ให้กับทีมได้ไม่ยากเฉกเช่น อันโตนิโอ บาเลนเซีย อีกฝั่งหนึ่ง
อย่างไรก็ดีในเกมนี้ คู่ต่อกรของ ยัง คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวเตะที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดที่มีความเป็นไปได้ว่า ตามตำแหน่งแล้วอาจ “กด” ให้ ยัง เติมเกมรุกลำบาก และอาจมีผลให้ระบบ 4-2-3-1 เต็มรูปแบบฟูลแบ็กเติมอร่อยของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สะดุดได้
งานนี้ “ทางแก้” คือ ขยับ เนมันย่า มาติช หรืออังเดร เอร์เรร่า (หรือมารูยาน เฟลไลนี) มา “โคเวอร์” ยาม ยัง หรือวาเลนเซีย เติมเกมรุกเพื่อ “บาลานซ์” ที่สมดุลย์ และยังจะเป็นการกดดันซาลาห์ และเกมรุกหงส์แดงอีกด้วยในเวลาที่ลิเวอร์พูลต้องทำตรงข้ามด้วยการพยายาม “ฝังตัว” ดาวเตะอียิปต์ไว้สูงในแดนบนเพื่อให้ ยัง และมิดฟิลด์ตัวโคเวอร์ต้องพะวงตลอดเวลาจนอาจเติมเกมรุกได้ไม่เต็มที่
ลูคาคู vs ลอฟเรน
คนหนึ่งกำลังทำสถิติเป็นนักเตะคนแรกที่ย้ายทีมในพรีเมียร์ลีกแล้วยิงได้ 8 นัดแรกติดต่อกัน ขณะที่อีกคน คือ “ส่วนหนึ่ง” กับผลงานการเสียประตูมากถึง 12 ประตูจาก 7 เกมซึ่งมีเพียง เวสต์แฮม (13 ประตู) และคริสตัล พาเลซ (17) ที่เสียประตูมากกว่าในลีก ห่างไกลกับจ่าฝูง และรองจ่าฝูงจากเมืองแมนเชสเตอร์ที่เสียแค่ 2 ประตูเท่านั้น
การประชันหน้ากันในจุดนี้ ยังไม่ใช่แค่ โรเมลู ลูคาคู ที่ลอฟเรน หรือมาติป อาจต้องปะทะกับความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่เป็นบรรดาตัวสนับสนุน 3 ตัวในไลน์ถัดมาไม่ว่าจะเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด, เฮนริค มคิห์ทาร์ยัน, ฮวน ฮาตา หรือจะเจสซี ลินด์การ์ด หรืออองโตนี มักซิยัล ด้วยเช่นกัน
“ทางแก้” คือ ลิเวอร์พูลต้อง “หลีกเลี่ยง” สถานการณ์ให้ เดยัน ลอฟเรน, โจเอล มาติป หรือฟูลแบ็กซ้าย/ขวา ที่ไม่ถนัดเกมรับต้องเผชิญสถานการณ์โต้กลับเร็วโดยขาดการ “สกรีน” ตั้งแต่แดนบน หรือแดนกลาง หรือโดน 1 ต่อ 1 ไม่ว่าจะใคร กับใครซึ่ง “กุญแจสำคัญ” ในงานนี้ คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับภาระหนักมากขึ้นในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับ หรือ Holding Midfielder ของทีม
เฮนเดอร์สัน & มาติช
อย่างที่ได้แตะไปแล้วข้างต้น “เฮนโด้” ต้องอ่านสถานการณ์ให้ดีทั้งในแง่การคุมพื้นที่, ตัดเกม หรือการประกบตัวเพื่อ “แบ่งเบา” ภาระไลน์ “แบ็คโฟร์” หรือเพื่อให้สมดุลย์ระหว่างรุก เป็นรับ, รับเป็นรุก ดีที่สุดซึ่งอาจจะทำได้ในยามที่ตระหนักอยู่แล้วกับบทบาทอันหนักหน่วงเกมนี้อันต่างจากการเจอทีมเล็ก ๆ ที่อาจมุ่งเป้าไปกับการ Build up เกมรุกมากเกินไป
แน่นอนว่า มิดฟิลด์อีก 2 คนในระบบ 4-3-3 ก็ต้องทำหน้าที่ด้วยเช่นกันทั้ง จอร์จี้ ไวจ์นัลดุม หรือเฟลิเป้ คูตินโญ่ หรืออาจจะเอมเร่ ชาน ในเกมนี้ เฉพาะอย่างยิ่งยามเสียบอลแล้วโดนโต้กลับเร็วอันเป็น “จุดเด่น” ของแมนฯยูไนเต็ดที่อาศัยช่อง Transitional Play เปลี่ยนจังหวะเกมจากรับมารุกได้ดีเยี่ยม
ทีมปิศาจแดง ณ ยามนี้ได้ เนมันย่า มาติช มาปัดเป่าหน้าคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ และยัง “เชื่อม” เกมรุกได้ดีชนิดที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประตูได้ (21 ประตู) และเสีย (2) มีมาติช เป็น “จิ๊กซอว์” สำคัญที่ทำให้ “ทุกคน” เล่นได้ง่ายขึ้น โดยเกมนี้เจ้าตัวจะได้ “พิสูจน์” จุดแข็งดังกล่าวกับเกมรุกสุดอันตรายของลิเวอร์พูลที่แม้จะไม่มี ซาดิโอ มาเน่ ก็ตาม
3. การประชันกันของ “แท็คติกส์”
ระหว่าง 4-3-3 (ลิเวอร์พูล) และ 4-2-3-1 (แมนฯยูไนเต็ด) ที่ใช้เชิงทฤษฎี 4-2-3-1 อาจจะดู safe กว่า เพราะมี 4 ไลน์การเล่น แต่ในทางปฏิบัติมันจะอยู่ที่ “สไตล์” การเล่นที่ทั้งคลอปป์ และมูรินโญ่ นำมาใช้ผ่าน 2 ระบบนี้มากกว่า
ชัดเจนว่า แมนฯยูฯ เดินทางมาไกลนับจากเกมบุกมาเสมอ 0-0 เมื่อปีก่อน และคงไม่ได้บุกมา “เน้นรับ” เพื่อผลการแข่งขันเฉกเช่นเกมดังกล่าว เฉพาะอย่างในเวลาที่กำลังมีความมั่นใจสุดขีดภายใต้วลีเด็ดก่อนเกมที่กุนซือโปรตุกีสเอ่ยว่า “แดงเดือด” ก็ไม่ต่างกับเกมอื่น เพราะชนะก็ได้ 3 แต้มเหมือน ๆ กันไม่ใช่ได้ 4 แต้ม
ส่วนลิเวอร์พูลดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงน้อยกว่ามาก และดูจะมีเพียง โม ซาลาห์ เท่านั้นที่เข้ามา และกำลังสร้างความแตกต่างที่อาจไม่พอเพียงกับเกมระดับนี้
ในมุมนี้ ลิเวอร์พูลยังดูเหมือนจะเล่นได้หน้าเดียว แม้จะมีตัวที่ “คาดเดา” ได้ยากอย่าง โดมินิค โซลังกี้ และมาร์โก้ กรูยิช ที่อาจถูกส่งลงมาเพราะรูปร่างสูงใหญ่ ทะลุทะลวง และเล่นลูกกลางอากาศได้ หรือ “เจ้าเก่า” แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ทว่า ลึก ๆ แล้วทุกคนทราบดีว่า ลิเวอร์พูลจะเล่นอย่างไร? และคาแร็กเตอร์ของแต่ละเป็นเช่นไร?
ผิดกับแมนฯยูไนเต็ด ที่เล่นได้หลายรูปแบบเพื่อให้ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ และมีตัวผู้เล่น “คุณภาพ” ให้ได้เลือกลงสนามได้มากกว่าซึ่งนั่นหมายความว่า เกมนี้ทีมปิศาจแดงไม่จำเป็นต้องจอดรถบัสเหมือนคราวก่อน ขณะที่ลิเวอร์พูลจำต้อง “ท็อปฟอร์ม” จริง ๆ ในระบบ 4-3-3 กับสไตล์ “เฮฟวี เมทัล ฟุตบอล” ที่ถนัดโดยลดความฟุ่มเฟือยในโอกาสที่ได้รับกับเกมรับไม่ให้พลาดง่ายแบบที่อยู่ แล้วเมื่อนั้นเราน่าจะได้ชมเกมที่ดีจากทั้ง 2 ทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของเกาะอังกฤษ
ทิ้งท้ายขอ “ฝากร้าน” เหมือนเดิมนะครับ: รับชมฟรี ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคู่ “แดงเดือด” ลิเวอร์พูล ปะทะแมนฯ ยูไนเต็ด ผ่านแอปทรูไอดี พร้อมรับเน็ตฟรีสำหรับใช้แอปทรูไอดี เดือนละ 4 GB นาน 3 เดือน เพียงกดรับสิทธิ *957*99# โทรออก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) http://bit.ly/2wxmsto
ไข่มุกดำ