ยอมรับตามตรงว่าเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ เป็นการนั่งดูแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเล่นอย่างสบายใจมากที่สุดเกมหนึงในยุคของโจเซ่ มูริญโญ่เลยก็ว่าได้

หลังจากตะกุกจะกักพอสมควรนับตั้งแต่ไม่มีปอล ป็อกบาที่บาดเจ็บอยู่ลงสนาม จนกระทั่งต้องงัดเอารถบัสออกมาใช้ในเกมเฉือนเซาแธมป์ตัน ทาง “ปีศาจแดง" ก็กลับมาเก็บสกอร์ยอดฮิตของพวกเขา 4-0 เหนือคริสตัน พาเลซ

เกมนี้ลูกทีมของโจเซ่ มูริญโญ่ไม่ได้เจองานหนักเหมือนอย่างเมื่อ 2-3 นัดที่ผ่านมา หลังจากขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากฆวน มาต้าที่วิ่งแปบอลเปิดมาจากมาร์คัส แรชฟอร์ดซึ่งเกมนี้เล่นได้ไม่เลว ดูจะมีสมาธิมากขึ้นตั้งแต่นาทีที่ 3 ทำให้เกมตกเป็นของทางพวกเขาซะมาก

โดยเฉพาะกับการที่ดาบิด เด เกอาแทบจะไม่ได้ออกแรงเซฟตลอดทั้งเกมเลยนั้นก็น่าจะเป็นคำตอบที่เด่นชัดที่สุดแล้ว

ขณะที่นักเตะเอ๊าท์ฟิลด์คนอื่น ที่ไม่พูดถึงเลยคงจะไม่ได้ ซึ่งนั่นก็คือมารูยาน เฟลไลนี่มิดฟิลด์หัวฟูที่เหมาคนเดียว 2 ประตูและยังมีส่วนร่วมกับเกมของแมนฯยูไนเต็ดตลอด 90 นาที

แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมเองจะเคยพูดไว้ว่า ถึง เฟลไลนี่ จะเล่นได้ดี แต่ช่องโหว่ที่หายไปของ ป็อกบา ก็ไม่อาจเติมเต็มได้จากแข้งเบลเจี้ยน เพียงแต่เกมนี้ค่อนข้างเข้าทางเจ้าบ้านจากการที่ได้ประตูนำห่างค่อนข้างเร็ว แมนฯยูฯจึงไม่จำเป็นต้องเร่งเซ็ตเกมแดนกลางหรือหาช่องเข้าทำที่ยาก เพราะ พาเลซ จำเป็นต้องเดินหน้าบุกออย่างเสียไม่ได้ จึงทำให้จุดด้อยของ “พี่ฟู" ไม่ได้ถูกบีบให้เผยออกมา ก่อนจะโซโล่จุดเด่นที่ตัวเองมีจนแฟนๆต้องยกนิ้วให้

อีกคนที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษเลยก็คือฟีล โจนส์ซึ่งบอกได้เลยว่า ตอนนี้เขาคือนักเตะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะขาดไปไม่ได้เลยในแนวรับ ไม่ว่าจะจับคู่ยืนกับใครก็ตาม

ปราการหลังทีมชาติอังกฤษเล่นได้อย่างแข็งแกร่งและนิ่ง แถมยังมีชั้นเชิงโชว์ทักษะให้แฟนๆได้ฮือฮากันอีกด้วย

ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่านี่คือนักเตะคนเดียวกันกับที่มีข่าวว่าจะโดนสโมสรปล่อยตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ต้องให้เครดิตเจ้าตัวเอง รวมทั้ง มูริญโญ่ ที่ไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเขาอีกด้วย

ที่จริงแล้วผมยังมองว่านัดนี้ เกมรุกของยูไนเต็ดยังคงมีความติดขัดเช่นเคย โดยเฉพาะพื้นที่สุดท้าย แต่ได้ความเด็ดขาดในการจบสกอร์เข้ามาช่วย (แม้ว่าจริงๆแล้วหลายคนมองว่าควรยิงได้มากกว่านี่ก็ตาม) ขณะที่โรเมลู ลูกากูเกมนี้แม้ว่าจะเล่นได้ไม่เด่นนัก แต่ก็ได้รางวัลตอบแทนความตั้งใจที่พยายามมีส่วนร่วมกับเกมตลอดด้วย 1 ประตูปิดกล่อง

มันก็มีอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเก็บชัยชนะกันได้อย่างไม่ระบมหัวแม่เท้าสักเท่าไหร่

ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคริสตัล พาเลซเองนั่นแล ...

ตามความรู้สึกตลอดการนั่งชมเกมของผมนั่น แทบจะไม่ได้รู้สึกถึงความกดดันจากทางฝั่งลูกทีมของรอย ฮอดจ์สันเลยแม้แต่น้อย

อาจจะมีบ้างนิดๆในจังหวะที่พวกเขาได้ลูกตั้งเตะ แต่โดยรวมแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าไม่พลาดกันเองก็ไม่น่าจะเสียประตู ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น ก่อนที่ทีมจะเก็บคลีนชีตได้เป็นเกมที่ 6 จาก 7 นัดแรกในพรีเมียร์ ลีก ทาบสถิติที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเคยพาทีมทำได้เมื่อฤดูกาล 1997-98 ได้สำเร็จ

นอกจากอิ่มเอมกับผลงานของทีมรักแล้ว ผมก็แอบเป็นห่วงแทน พาเลซ เล็กน้อยว่าพวกเขาจะได้ไปรอดไหมเหมือนกัน เพราะถ้าจะให้พูดตรงๆ ผมเองไม่เชื่อว่ากุนซือตกยุคอย่าง ฮ็อดจ์สัน จะสามารถปลุกเสกให้พวกเขากลับมาเล่นได้ดีกันได้ยังไง

นอกจากอันดรอส ทาวน์เซนด์ที่ดูจะวูบวาบพอสมควร รวมทั้งใจสู้ของนักเตะพาเลซที่พยายามจะลุยเท่าที่ทำได้แล้ว การขึ้นเกมของทีมดูค่อนข้างจะสะเปะสะปะ แถมคุณปู่แกก็ดูจะไม่ค่อยมั่นใจว่าต้องแก้เกมยังไงอีกต่างหาก ขอบอกก่อนว่าอันนี้ใช้ความรู้สึกล้วนๆ ฮา

จนถึงตอนนี้เล่นไปแล้ว 7 เกม ยิงใครไม่เป็น แถมยังเสียรวมไปถึง 17 ลูก !

เผลอๆอดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษก็อาจจะอยู่ไม่ยืดเหมือนแฟรงค์ เดอ บัวที่ถูกปลดไปก่อนหน้านึ้ก็เป็นได้

ส่วน “น้ามู” กับลูกทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนัดนี้ก็คืนความสุขให้กับแฟนๆได้เต็มอิ่มกันไป ก่อนที่นัดหน้าจะออกไปเยือน ลิเวอร์พูล เพื่อทำศึกแดงเดือดที่สนามแอนฟิลด์

จบเกมนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีครับ



------------------------------------------------------







ปล.ติชมได้เช่นเคยครับผม ขอบคุณครับ

หวังว่าในเกมแดงเดือด ทัพยูไนเต็ดจะทำผลงานได้ดีน่ะ
ขอให้รักษาฟอร์มดีๆแบบนี้ไว้

แดงเดือดเอา3แต้มอีกนะ

เขียนได้ดีครับอ่านเข้าใจง่ายดี

ก่อนหน้านี้ หัวฟู จะฟาลว์แบบง่าวๆ ทั้งศอกและเตะรวบ โดนยี้
โหม่งทำประตูไม่ได้ ทั้งๆที่ตัวสูง ต่างจากฟอร์มตอนฟีคที่ Everton

แต่ฤดูกาลนี้ เหมือนเป็นคนใหม่
การเก็บบอลกลางอากาศ ครองบอลเหนียวแน่น เอาตัวรอดจากที่แคบๆได้
แถมยังสร้างความอันตรายในกรอบเขตโทษได้ดีด้วย

เมื่ออยู่แดนกลาง มีมาติช คอยบัฟให้
เมื่ออยู่แดนหน้า จะมีลูกากู คอยแบ่งกองหลัง(จะปิดตำแหน่งใครละ สูงทั้งคู่)
เมื่ออยู่ข้างสนาม จะมีพ่อคอยโอบอุ้ม

จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่เอื้อให้
"กำเนิดบุตรแห่งมูรีนโย"

เป็นแดงเดือดที่กลับมาจากทีมชาติ บอกตรงๆ กลัวมากครับ

กลัวเค้าฟอร์มดี หรือ กลัว ตัวเราไม่พร้อม

กลัวตัวเองไม่พร้อมครับ

กลัว เหมือนกันเลย รอบที่แล้วกลับมาจากทีมชาติ เหมือนหมดก็อกยังไงก็ไม่รู็ พอมูปั้นกำลังจะมาดีๆ ไปทีมชาติอีกแล้ว