ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย ได้ 4 ทีมตีตั๋วไป รัสเซีย เรียบร้อยแล้ว แชมป์และรองแชมป์ของทั้ง 2 กลุ่มคือ อิหร่าน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และ ซาอุดิอาระเบีย เป็นตัวแทนเอเชียไปแข่งขันรอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ

ขณะที่ ซีเรีย และ ออสเตรเลีย ทีมอันดับ 3 ของทั้ง 2 กลุ่มต้องไปลุ้น “เพลย์ออฟ” กันต่อในวันที่ 5 และ 10 ต.ค.นี้ แล้วไปเพลย์ออฟอีกนัดกับทีมจาก “โซนคอนคาเคฟ” ในเดือนพ.ย.เพื่อชิงตั๋วไป “แดนหมีขาว”

สำหรับ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย จบด้วยการเป็นทีมเดียวที่ไม่ชนะใครในรอบนี้ จากทั้งหมด 10 นัดเก็บไปได้ 2 คะแนน จากการเปิดบ้านเสมอ ออสเตรเลีย 2-2 และ เสมอ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ 1-1 ส่วนที่เหลือแพ้รวด ยิงได้ 6 ประตู เสียไป 24 ประตู

ถ้าถามว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ตอบแบบตามตรงได้เลยว่า “ไม่” ถ้าย้อนกลับไปดูข่าวตั้งแต่ช่วงก่อนแข่งขันเราพากันตั้งความหวังไว้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ชนะในรอบนี้ให้ได้เป็นครั้งแรก

ที่ผ่านมาผมเคยบอกเสมอครับว่านักเตะ “ช้างศึก” ต้องเก็บให้ได้มากกว่า 4 แต้ม เพราะสมัยที่ ปีเตอร์ วิธ พาทีมเข้ามาถึงรอบ 10 ทีมสุดท้ายโซนเอเชียเมื่อฟุตบอลโลก 2002 ทีมชาติไทยเคยได้ 4 แต้มจากการเสมอ 4 นัด

หากได้ไม่เกิน 4 แต้มถือว่าฟุตบอลไทยยังไม่ได้ไปไกลกว่าเดิม แค่กลับมายืน “ที่เดิม” ที่เคยมาถึงเท่านั้น ถึงตรงนี้ตัวเลขในตารางคะแนนคือคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทีมชาติไทยจะล้มเหลวไม่เป็นท่า

แข้ง “ช้างศึก” ห่างหายจากการมาถึงรอบคัดเลือก รอบสุดท้าย โซนเอเชีย เนิ่นนานกว่า 15-16 ปี นับจากที่เคยผ่านมาเข้ามาได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2002 ดังนั้นการกลับมาได้อีกครั้งจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในระดับหนึ่งแล้ว

ผลงานทั้ง 10 นัดที่ผ่านมาแม้จะถูกมองว่าเป็น “ทีมแจกแต้ม” เพราะรั้งบ๊วย ไม่ชนะใคร แต่หลายๆเกมนักเตะไทยก็ทำได้ดี สู้ได้สมศักดิ์ศรี แพ้ไม่ขาด เอาง่ายๆว่า “ออสซี” ยังไม่ได้ไปฟุตบอลโลกแบบง่ายๆเพราะเจอพิษสงทีมชาติไทยนี่ละ

ย้อนกลับไปดู 10 นัดของ “ช้างศึก” กันหน่อยครับ นัดแรกเปิดหัวไม่สวยบุกพ่าย ซาอุดิอาระเบีย 0-1 แบบโดนยิงจุดโทษท้ายเกม ต่อด้วยกลับมาเล่นในบ้านแพ้ ญี่ปุ่น 0-2 ในเกมที่หลายคนบอกว่า “ขาดตังค์เหมือนขาดใจ” เพราะ สารัช อยู่เย็น ติดโทษแบน

เกมที่ 3-4 “ช้างศึก” ไปเยือน 2 แมตช์รวด แพ้ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ 1-3 แพ้ อิรัก 0-4 แม้ทีมจะยิงประตูแรกได้จากการซัลโวของ ธนา ชนะบุตร แต่โดนสวดยับเพราะ 2 เกมใช้ผู้เล่นทรงเดิมๆ เปลี่ยนตัวแบบเดิมๆ มีนักเตะลงสนาม 14 คนหน้าเดิมทั้งสิ้น !!!

สถานการณ์ยามนั้นของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ถูกวิพากษ์อย่างหนักว่า “หมดมุก” พร้อมคำถามว่าไหวหรือไม่ในระดับเอเชีย ทีมชาติไทยต้องปรับวิธีการใหม่ ซ้อมแบบปิดสนาม เก็บเงียบข้อมูลทุกอย่าง

“ช้างศึก” ออกมาสู้อีกครั้งแบบปรับทั้งวิธีการเล่นและตัวผู้เล่นจนเกือบชนะ ออสเตรเลีย แต่มาโดน 2 จุดโทษเลยจบที่เสมอ 2-2 นั่นคือเกมที่ทีมชาติไทยได้แต้มแรก สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นมาบ้าง แม้จะจบครึ่งทางแรกด้วยการมีแต้มเดียว

ทุกคนหวังว่า 5 นัดสุดท้ายต้องดีขึ้นเพราะได้กลับมาเล่นในบ้านเยอะหน่อย แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น นัดที่ 6 ทีมชาติไทยแพ้คาบ้านต่อ ซาอุดิอาะเบีย 0-3 ก่อนจะบุกแพ้ ญี่ปุ่น 0-4 พร้อมกับการโบกมือลาของ “ซิโก้” ในเวลาต่อมา

“มิโล” มิโลวาน ราเยวัช กุนซือโปรไฟล์หรูถูกดึงตัวเข้ามารับช่วงทำทีมต่อ ทีมชาติไทยเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นอย่างเห็นได้ชัดหลายตำแหน่งและประเดิมสนามแบบเกือบชนะ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ จากการเล่นแบบเน้นเกมรับ แต่สุดท้ายไม่ชนะ เจ๊ากันไป 1-1

ทีมชาติไทยหวังที่จะชนะนัดแรกในเกมที่ 9 เมื่อต้องรับการมาเยือนของ อิรัก ที่ว่ากันว่าอยู่ในระดับเดียว แต่ทีมชาติไทยฝันสลายอีกครั้งแพ้คาบ้าน 1-2 ในเกมที่เจอทั้งใบแดงและจุดโทษ

นัดสุดท้าย “ช้างศึก” ออกไปเยือน ออสเตรเลีย ที่ต้องชนะและยิงเยอะๆเพื่อตั๋วฟุตบอลโลก ทีมชาติไทยทำการบ้านมาดี ปรับทั้งวิธีการเล่น ตัวผู้เล่น แม้จะโดนกระหน่ำอย่างหนักแต่สู้แบบได้ใจแพ้ไป 1-2

ทั้ง 10 นัดของทีมชาติไทยต้องบอกว่ามีทั้งประทับใจและไม่ประทับใจละครับ แต่สิ่งที่เห็นชัดๆคือ “มาตรฐาน” ของนักเตะไทยยังไม่แน่นอนเอามากๆ วันไหนเล่นดีก็ดีใจหาย วันไหนลุ้นไม่ขึ้นก็ลุ้นไม่ขึ้นเสียจริงๆ

ถ้าถามว่าทีมชาติไทยดูมีอนาคตมั้ย ส่วนตัวเชื่อว่ามี ทีมชาติไทยยกระดับมาได้พอสมควรแล้วในการเจอกับทีมแถวหน้าของเอเชีย ไม่ใช่ว่าโดนขี่หรืออัดเสียจนโงหัวไม่ขึ้น หลายเกมเกือบมีแต้มแต่ทำไม่ได้

แต่เรายังต้องแก้ไขอีกหลายอย่าง ต้องยอมรับด้วยว่าความสามารถนักเตะไทยมีแค่ “บางคน” เท่านั้นที่อยู่ในระดับพอฟัดพอเหวี่ยงกับนักเตะในทีมชาติหัวแถวของเอเชีย ตรงนี้คือสิ่งที่ต้องพยายามพัฒนากันต่อไป รวมถึงการหาวิธีการที่จะทำให้ “สู้ได้”

เชื่อว่าตอนนี้ทีมชาติไทยเดินมาถูกทางครับ ทุกคนทำงานกันอย่างหนัก ไม่ใช่รอลุ้น “วัดดวง” แค่ในสนาม แต่เราทำการบ้านนอกสนามมาอย่างดีตั้งแต่ก่อนแข่ง ทุกอย่างต้องพัฒนากันต่อไป

แม้วันนี้เราจะยังชนะในรอบนี้ไม่ได้ แต่การกลับมายืนที่เดิมอีกครั้งน่าจะทำให้หลายๆอย่างดีขึ้น จากนี้ไปหากเป็น “ขาประจำ” ในรอบนี้ได้เมื่อไรโอกาสไปฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ย่อมใกล้เคียงขึ้นเรื่อยๆ

สู้ต่อไปทีมฟุตบอลชาติไทย

“บับเบิ้ล”

จะแต้มเดียว สองแต้ม แต่ก็จะเชียร์ทีมชาติไทยครับ สู้ ๆ บอลโลกเป็นความฝันของคนไทยทุกคน แต่นักเตะทุกคน ก็สู้เพื่อความฝันของคนไทยทั้งประเทศครับ ผมภูมิใจกับนักเตะทีมชาติไทยทุกคนครับ

หวังว่าในอนาคตจะมีนักเตะที่เป็นตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นนะ

กลับมาใหม่ แบบแข็งแกร่งกว่าเดิมนะครับทีมชาติไทย #บอลนอกแค่สะใจบอลไทยอยู่ในสายเลือด

สำหรับผม มาได้ถึงรอบนี้ + การันตีตั๋วสู่เอเชี่ยนคัพ2019ได้ แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้วครับ

พัฒนากันต่อไป

ยังไงก็เชียร์อยู่ดี

มาเป็นขาประจำ บอลโลกคัดเลือกรอบสุดท้าย กับเอเชี่ยนคัพบ่อยๆ นี่แหละครับความจริงที่เราต้องทำให้ชัดเจน แล้วค่อยไปก้าวต่อๆไปให้มั่นคง ชาติอื่นที่พัฒนาระดับการเล่นฟุตบอลขึ้นมาได้ก็ทำอย่างนี้มา20-30 ปีกันแล้วทั้งนั้น

รอต่อไป ตราบใดที่ยังมีบอลโลก มันก็ต้องได้ไปแหละน่า

สู้ๆต่อไปครับ

ค่อยๆก้าวกลับขึ้นไปทีละขั้น ครั้งหน้า 3 แต้มก็ถือว่าพัฒนาแล้ว

้ท้ายเกม เสียประตูตลอดเลย

สู้ต่อไปครับ

เอเชียนคัพ 8 ทีม ไหวมั้ย

เสียดายนัดเจอ UAE ที่สุด มาโดนช่วงทดเจ็บ

ไม่งั้นเราจะได้ 4 แต้ม และชนะครั้งแรกในรอบนี้

ดีขึ้นนะสมัยซุปไก่นี่โดนสามสี่ลุกบ่อยๆ