#### ได้รู้ความจริง ได้ยิ่งกว่าฟุตบอล อ่าน soccersuck.com####

28 August 2017 12:31 PM by jedi

ลุ้น “ช้างศึก” เฮส่งท้ายบอลโลก

โลกลูกหนังเข้าสู่ช่วงเวลา “ฟีฟ่าเดย์” แล้วครับ นั่นหมายความว่า “ทีมชาติ” ของแต่ละประเทศจะมีคิวลงเตะกัน ทั้งแบบแข่งขันเป็นทางการและอุ่นเครื่อง คิว “ฟีฟ่าเดย์” รอบนี้อยู่ระหว่างวันที่ 28 ส.ค.ถึงวันที่ 5 ก.ย.

สำหรับ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย มีโปรแกรมเตะส่งท้าย ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รอบ 12 ทีมสุดท้าย กลุ่มบี ในนัดที่ 9 เปิดบ้านพบ อิรัก วันที่ 31 ส.ค. และปิดท้ายนัดที่ 10 ไปเยือน ออสเตรเลีย วันที่ 5 ก.ย.

นี่คือ 2 เกมที่นักเตะไทยจะต้องลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ซิวชัยชนะในรอบนี้ให้ได้ หลังจากเตะไปแล้ว 8 เกมมี 2 คะแนนจากการเสมอ “ออสซี” 2-2 ในยุคของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และเสมอ “ยูเออี” 1-1 ในยุค มิโลวาน ราเยวัช

2 เกมสุดท้ายของไทยไม่ง่ายเลย จริงๆแล้วเกมรอบนี้ไม่มีง่ายอยู่แล้วครับ ทั้ง 12 ทีมที่ผ่านเข้ามาได้ถือว่าเป็นทีมระดับแถวหน้าของเอเชียล้วนๆเพราะนี่คือ “ด่านสุดท้าย” ที่จะลุ้นไปฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้ายที่ประเทศรัสเซีย

ดูจากโปรแกรมที่เหลือแบบว่ากันตามความเป็นจริงและตามตรงต้องบอกว่า “ช้างศึก” ถ้าจะลุ้นชนะก็ต้องเอาชนะ อิรัก ในวันที่ 31 ส.ค.นี้ให้ได้ ส่วนการไปเยือน ออสเตรเลีย วันที่ 5 ก.ย.โอกาสลุ้นยากจริงๆ แม้นัดแรกเราจะเสมอได้ก็ตามเถอะ

สถานการณ์กลุ่มบี ตอนนี้ ญี่ปุ่น นำจ่าฝูงมี 17 คะแนน ส่วนอันดับ 2 และ 3 เป็น ซาอุดิอาระเบีย และ ออสเตรเลีย ที่มี 16 คะแนนเท่ากัน ทั้ง 3 ทีมนี้ต้องลุ้นกันเข้ารอบ โดย 2 ทีมที่มีคะแนนอันดับ 1 และ 2 จะเข้ารอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ ขณะที่ทีมอันดับ 3 ต้องไปเพลย์ออฟ

คิว 2 นัดสุดท้ายของทั้ง 3 ทีมถือว่าน่าสนใจ ซาอุดิอาระเบีย เตะก่อนตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.ไปเยือน สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ส่วนวันที่ 31 ส.ค.ทีมได้ลุ้นเข้ารอบจะเจอกันเอง ญี่ปุ่น ดวล ออสเตรเลีย หาก “ซามูไรบูลส์” ชนะจะตีตั๋วไปแดนหมีขาวทันที

ขณะที่โปรแกรมนัดสุดท้ายวันที่ 5 ก.ย. ซาอุดิอาระเบีย เจอ ญี่ปุ่น ด้าน ออสเตรเลีย เปิดบ้านพบ ไทย ถึงตรงนั้นสถานการณ์ของนักเตะ “ซอคเกอร์ รูส์” คงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากต้องชนะไทยให้ได้สถานเดียวเท่านั้น

ดังนั้นเกมนัดสุดท้ายที่นักเตะไทยต้องบุกไปเมลเบิร์นจึงเป็นอะไรที่สาหัสมากๆ ด้วยเหตุนี้หากหวังชนะนัดแรกในรอบนี้ให้ได้ “ช้างศึก” ต้องเกหมดหน้าตักใส่กับ อิรัก ในวันที่ 31 ส.ค.นี้ละครับ

ไทย กับ อิรัก เจอกันในฟุตบอลโลกครั้งนี้ 3 นัดแล้วครับ รอบคัดเลือก 2 เกม เสมอทั้ง 2 เกม แต่ล่าสุดเจอกันในรอบนี้ อิรัก ถล่ม ไทย 4-0 ในการเตะที่อิหร่าน นั่นคือชัยชนะเกมเดียวของ อิรัก ในรอบนี้ด้วย ก่อนจะไปเจ๊า ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่น ทำให้ตอนนี้มีอยู่ 5 คะแนน

ดูจากองค์ประกอบต่างๆแล้วทำให้มีความเชื่อและความเป็นไปได้ครับว่าในเกมวันที่ 31 ส.ค.นี้ขุนพลนักเตะทีมชาติไทยมีลุ้นที่จะถอนแค้น อิรัก ได้ไม่น้อยเหมือนกัน แม้นัดล่าสุดจะโดนยิงมาเยอะ แต่ดูแล้วไม่่ห่างกันมาก เล่นกันได้ โอกาสออกได้ 3 หน้า

อิรัก เปลี่ยนแปลงทีมมาเยอะ “ช้างศึก” ก็เปลี่ยนแปลงทีมไม่น้อยเช่นกัน นี่คือยุคของ มิโลวาน ราเยวัช กุนซือชาวเซอร์เบียที่มีโปรไฟล์ดีกรีระดับโลก ผลงานของ “มิโล” เริ่มสร้างความประทับใจให้แฟนบอลขึ้นเรื่อยๆ

ที่สำคัญเกมนี้ทีมชาติไทยยังจะได้ตัวเก่งกลับมากันหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ที่กลับจากเจลีก ประเทศญี่ปุ่นมาเข้าแคมป์กับทีมแล้ว รวมถึง “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา และ ทริสตอง โด ที่อยู่ในสภาพพร้อมลุยเต็มที่

ทีมของ “มิโล” แสดงให้เห็นแล้วว่าเด่นเรื่องเกมรับ แต่เกมรุกยังไม่เด็ดขาด แต่นัดนี้ตัวหลักทั้งที่เชื่อมเกมไปสู่แนวรุกและตัวจบสกอร์คัมแบ็กกลับมาสู่ทีมแล้ว น่าสนใจมากๆครับว่าวิธีการรุกของ “ช้างศึก” จะมีมติที่หลายหลายขึ้นหรือไม่ อย่างไร

น่าเสียดายนิดตรงที่ยังไม่ถึงขั้น “ฟูลทีม” จริงๆ เพราะบางคนยังเจ็บอยู่ทั้ง “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ “ตั้ม” ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ “ตังค์” สารัช อยู่เย็น ไม่งั้น “มิโล” จะได้นักเตะทีมชาติไทยแบบเต็มทีมจริงๆเสียที

แต่ผู้เล่น 25 คนในแคมป์ตอนนี้ถือว่าดีพอที่จะลุ้นชัยชนะนัดประวัติศาสตร์ครับ โดย “มิโล” จะทำการตัดตัวออก 2 คนให้เหลือ 23 ขุนพลเพื่อแข่งขันใน 2 เกมที่เหลืออยู่ ส่วนจะทำเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่พี่น้องชาวไทยต้องส่งใจเชียร์กันต่อไป

มุมมองส่วนตัวยังคิดเหมือนเดิมครับว่าหาก “ช้างศึก” เก็บไม่ได้เกิน 4 แต้มเหมือนที่เคยทำได้ด้วยผลงานการเสมอ 4 นัดใน ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก 10 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย เท่ากับว่าฟุตบอลไทยยังไม่ไปไกลกว่าเดิม เราแค่กลับมายืนที่เดิม

การกลับมายืนที่เดิมถือว่าน่าชื่นชมแล้วครับ เพราะฟุตบอลไทยอยู่ในช่วง “ขาลง” มานาน แต่ถ้า “ช้างศึก” ขยับไปได้ไกลกว่าเดิมจะเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ ตามลุ้นกันครับพี่น้องชาวไทยว่าเราจะสร้างประวัติศาสตร์ชนะในรอบนี้ได้สำเร็จหรือไม่

“บับเบิ้ล”