[RE: ทำไมคำว่า ไทย ต้องมี ย.ยักษ์]
•• ในบันทึกประวัติศาสตร์จะถือว่า วันที่ 24 มิถุนายน 2482 คือ วันเปลี่ยนชื่อประเทศ โดยยึดตาม ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยรัฐนิยม ใช้ชื่อประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ
แต่ในทาง กฎหมาย แล้วต้องถือเอาวันที่ 26 สิงหาคม 2482 อันเป็นวันที่รัฐบาลสมัยนั้นเสนอ ร่างพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญขนานนามประเทศ ต่อ รัฐสภา และผ่าน วาระที่ 3 ในอีก 1 เดือนถัดมา นั่นเอง
•• คำแถลงต่อ รัฐสภา ของ จอมพลป. พิบูลสงคราม (หรือในขณะนั้นเรียกกันว่า นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม) ได้ระบุ เหตุผลหลัก ไว้ในลักษณะให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเพื่อ ต่อต้านคนจีน(ในสยาม) ดังคำกล่าวตอนหนึ่งที่บันทึกว่า
“...การที่เราใช้คำว่า ประเทศสยามนั้น นอกจากจะไม่ตรงกับเชื้อชาติของเราแล้ว ในต่อไปภายหน้าคนชาวต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศของเรา ก็อาจที่จะถือเอาสิทธิประเทศของเราเป็นประเทศของเขาก็ได้ คือเราเป็นชาวไทย เราก็อยู่ในประเทศสยาม ชาวจีนก็อยู่ในสยาม ถ้าหากว่าการที่อพยพของชาวต่างประเทศมากขึ้นในต่อไปข้างหน้าตั้งพันปี เราก็อาจจะไม่เข้าใจว่าประเทศสยามนี้เป็นของไทยหรือของจีน หรือของคนอื่น.”
•• ในรัฐสภาครั้งกระนั้น วันที่ 26 สิงหาคม 2482 ประเด็นเดียวที่ ถกกันหนัก ใช้เวลา กว่า 1 ชั่วโมง ก็คือ ตัวสะกด ของชื่อประเทศที่เปลี่ยนใหม่ว่าควรจะมี ย ต่อท้าย ไท หรือไม่ – ปรากฏว่า ไทย ได้รับความเห็นชอบ เป็นเอกฉันท์
•• จากนั้นมามี การถกเถียงอย่างจริงจัง ถึงการจะกลับไปใช้ชื่อ สยาม อีกในการอภิปรายใน สภาร่างรัฐธรรมนูญ รวม 3 ยุค คือ ปี 2491, ปี 2504 และ ปี 2517
•• ล่าสุด ปี 2517 แม้จะมีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2 – 3 คนหยิบยกขึ้นมาอภิปรายแต่ก็ ไม่ได้รับความสนใจ ไม่เป็น ประเด็น ที่จะต้อง ลงมติ แต่ประการใด
•• ต้นคิดจริง ๆ ของ การเปลี่ยนชื่อประเทศ จาก สยาม มาเป็น ไทย นี้นอกเหนือจาก จอมพลป. พิบูลสงคราม แล้วคนที่มีส่วนผลักดันสำคัญเห็นจะเป็น "หลวงวิจิตรวาทการ" ผู้ประกาศแนวคิด ต่อต้านคนจีน มาโดยตลอด
หลวงวิจิตรวาทการ ที่น่าศึกษาไม่น้อยเหตุผล 4 ประการ ของท่านผู้นี้ในข้อเสนอเปลี่ยนชื่อประเทศก็คือคำว่า สยาม มีปัญหารวม 4 ประการ
ประการที่หนึ่งคือ ทำให้คนไทยมีสัญชาติกับบังคับไม่ตรงกัน (กล่าวคือ สัญชาติไทย, บังคับสยาม)
ประการที่สองคือ ชื่อภาษากับชื่อคนไม่ตรงกัน (กล่าวคือ คนสยาม, ภาษาไทย)
ประการที่สามคือ ในประเทศเดียวกันเกิดปวงชนเป็น 2 พวก (กล่าวคือ ปวงชนชาวไทย กับ ปวงชนชาวสยาม)
ประการสุดท้าย ความใหญ่หลวงของเชื้อชาติไทยที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก (ที่นับรวมกันแล้วได้ 36 ล้านคน ใน ปี 2482)
•• แม้จะอรรถาธิบายใน ปี 2517 แต่ใน ปี 2482 จะเห็นได้ว่า ท่านปรีดี พนมยงค์ ได้ได้ออกแรง คัดค้านอย่างถึงที่สุด สันนิษฐานกันว่าอาจจะเป็นเพราะ ไม่ต้องการสร้างความแตกแยกขึ้นในคณะราษฎร ข้อคัดค้านที่ มีเหตุผลที่สุด ของ วันที่ 8 พฤษภาคม 2482 จึงยังคงเป็นของ นายพลเรือตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ กับประโยคที่ว่า
“...ในแง่นโยบายปกครอง เราคงลำบากใจบางอย่าง คนในสยามมีหลายชาติ เวลานี้เขารักใคร่สยาม ถึงคราวเราพูดอะไรจะให้กินความส่วนรวมแล้วใช้ว่าไทย เกรงว่าเขาอาจจะน้อยใจได้ อนึ่ง ถ้าเราเลิกใช้คำสยาม ใช้แต่ไทย จะเกิดความรู้สึกว่าเอาพวกชาติอื่นออก เพราะไม่ใช่ไทย พวกปัตตานีก็ไม่ใช่ไทย ถ้าเราเรียกว่าสยามก็รวมพวกปัตตานีด้วย เขาก็พอใจ ถ้าเปลี่ยนไป อาจไม่ดูดพวกนี้มารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้.”
•• ประเด็นที่ ท่านปรีดี พนมยงค์ จริงจังคือ ชื่อภาษาอังกฤษ ของ ประเทศไทย, คนไทย ว่าควรใช้ Siam, Siamese ดังนั้นเมื่อท่านมีอำนาจใน ปี 2489 ท่านจึงเสนอให้รัฐบาล ทวี บุณยเกต ประกาศ ชื่อภาษาอังกฤษ ของ ประเทศไทย, คนไทย เสียใหม่ว่า Siam, Siamese โดยไม่ได้ดำเนินการ แก้ไขรัฐธรรมนูญเปลี่ยนชื่อประเทศ ซึ่งก็ใช้อยู่ไม่นานเพราะ เมื่อ จอมพลป. พิบูลสงคราม กลับขึ้นไปมีอำนาจหลัง ปี 2492 ก็กลับไปใช้ Thailand, Thai อย่างเดิม
•• พูดง่าย ๆ ก็คือประเทศนี้ เสียโอกาสครั้งสำคัญ ในช่วง ปี 2489 ที่จะกลับไปใช้ชื่อ สยาม เพราะหลังจากนั้นมาแม้จะมีความพยายามจาก เสียงข้างน้อย แต่ก็ พ่าย ต่อ เสียงข้างมาก
http://www.trueplookpanya.com/learning/detail/24982-037033