ฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปีชิงแชมป์เอเชีย 2018 รอบคัดเลือก เตะจบแล้วทุกกลุ่ม ทัวนาเมนต์นี้ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายที่จีนได้สำเร็จ แต่ผิดคาดตรงที่ไม่ได้เป็น “แชมป์กลุ่ม” !!!

แชมป์ทั้ง 10 กลุ่มที่ผ่านเข้ารอบประกอบด้วย โอมาน อิรัก กาตาร์ อุซเบกิสถาน ปาเลสไตน์ ออสเตรเลีย เกาหลีเหนือ มาเลเชีย เกาหลีใต้ จีน ส่วนทีมอันดับ 2 ที่ดี่สุด 6 ทีมมี ซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย จอร์แดน ไทย เวียดนาม และ ญี่ปุ่น

จริงๆแล้ว จีน ในฐานะเจ้าภาพรอบสุดท้ายได้สิทธิ์รอเตะรอบสุดท้ายอยู่แล้ว แต่พวกเขาลงเล่นรอบคัดเลือกแล้วได้แชมป์กลุ่มด้วยทำให้ทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุดจากที่กำหนดไว้ 5 ทีมจึงมีโควต้าเพิ่มเป็น 6 ทีม

ผลงานการ เสมอ มองโกเลีย 1-1 ชนะ มาเลเชีย 3-0 และ เสมอ อินโดนีเชีย 0-0 ทำให้นักเตะวัยโจ๋ทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบด้วยการเป็น 1 ในทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุด 6 ที่จะไปชิงแชมป์เอเชียรอบสุดท้ายที่แดนมังกร

การพิจารณาทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุดคือตัดผลการแข่งขันที่เจอทีมอันดับสุดท้ายออก เนื่องจาก ศรีลังกา ถอนทีมทำให้กลุ่มเอมีแค่ 3 ทีม แต่ละกลุ่มจึงตัดเกมที่เจอทีมอันดับ 4 ออกแล้วนับแต้มกันแค่ 3 ทีมที่เหลือ

กลุ่มเอช มองโกเลีย เป็นทีมบ๊วย ส่วน ไทย เป็นทีมอันดับ 2 เมื่อตัดเกมที่ ไทย เจอ มองโกเลีย ออกแล้วทำให้ “ช้างศึก” มี 4 คะแนนผลต่างประตูได้-เสียบวก 3 ดีพอที่จะเป็นอันดับ 2 ที่ดีที่สุด 1 ใน 6 ทีมที่ได้ตั๋วไปเล่นรอบสุดท้าย

แต่ถ้าถามว่าเป็นผลงานที่ตรงตามที่คาดหวังหรือไม่ คงตอบได้ทันทีว่าไม่ใช่ ดูจากชื่อชั้นและการเป็นเจ้าภาพในรอบคัดเลือกแล้วนักเตะ “ช้างศึก” ควรจะชนะรวดเก็บให้ได้ 9 แต้มเต็มเพื่อตีตั๋วสู่รอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ

ทว่าหากมองที่การสามารถผ่านเข้าไปรอบสุดท้ายได้อยู่ดีก็อาจจะถือว่าตรงตามเป้าหมายได้เหมือนกัน ตรงนี้ถือว่าเป็นมุมมองตามแต่ที่จะเลือกมอง นั่นจึงเป็นเหตุให้เกิด “ดราม่า” วิพากษ์วิจารณ์ผลงานของทีมชุดนี้ไม่น้อย

กุนซืออย่าง “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ถูกวิพากษ์หนัก บ้างก็ว่าไม่มีฝีมือ บอลไม่มีทรง เปลี่ยนโค้ชเถอะ แต่อีกมุมกลับมองว่าโชคไม่ดีมากกว่า ฝนถล่มสนามซะยับจนเล่นไม่ได้ เอาตัวรอดได้ก็ดีแล้ว

ตรงนี้แล้วแต่มุมมองครับ ส่วนตัวมองว่าสภาพสนามเป็นตัวแปรอย่างมาก เพราะความเละเทะของพื้นสนามที่แย่ยิ่งกว่าบอลเด็กเตะเล่นกันตามทุ่งนาคงวัดมาตรฐานหรืออะไรไม่ได้มากนัก จริงๆแล้วสนามแบบนี้ไม่ควรจะได้แข่งด้วยซ้ำนะ !!!

ธรรมชาติของนักเตะชุดนี้หลายคนเล่นฟุตบอลกับพื้นเป็นหลัก แต่มาเจอสนามแบบนี้ไปไม่เป็น อย่าบอกว่าอีกทีมก็เตะสนามเดียวกันเลยครับ จริงอยู่ที่เตะสนามเดียวกัน แต่ความสามารถที่มีมันจะถูดลดทอนให้มาเหลือเท่ากันด้วย

เกมแรกกับ มองโกเลีย เห็นได้เลยว่าเด็กไทยเล่นไม่ได้ จังหวะโดนตีเสมอเหตุก็เกิดจากบอลติดน้ำ พอเกมที่ 2 กับ มาเลเชีย สภาพสนามดีขึ้น รูปเกมและตัวผู้เล่นแตกต่างไปจนชนะถึง 3-0 ก่อนนัดสุดท้ายเจอ อินโดนีเซีย ในสนามที่เต็มไปด้วยน้ำ ภาพจากเกมแรกจึงกลับมาหลอนอีกครั้ง

ดังนั้นจึงมองว่าสภาพสนามเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลงานเด็กไทยไม่เปรี้ยง แต่ครั้นจะไปโทษฟ้าโทษฝนอย่างเดียวคงไม่ได้ ความละเอียดในการเล่นจำเป็นต้องมี ตั้งแต่แทคติกการเล่นไปจนถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในสนาม

ทีมนักเตะไทยชุดนี้มีข้อผิดพลาดมากมายทีต้องนำไปแก้ไข “โค้ชโย่ง” ได้การบ้านกลับไปทำเยอะเลยละครับเพื่อเตรียมทีมลุยต่อใน “ซีเกมส์” ครั้งที่ 29 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า

ประเด็นที่ว่าจะปลดโค้ชหรือเปลี่ยนโค้ชไม่น่าจะมีใครใน สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ บ้าจี้ตามเพราะอีกไม่กี่วันเกมจะเตะอยู่แล้ว อีกทั้งทีมชุดนี้ไม่ได้ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปีชิงแชมป์เอเชีย และเป้าหมายที่ “โค้ชโย่ง” และทีมงานเข้ามาทำทีมคือซีเกมส์ที่แดนเสือเหลืองด้วย

เมื่อก้าวมาถึงตรงนี้แล้วคงต้องทำต่อไปให้สุด “โค้ชโย่ง” ยังมีเวลาปรับปรุงทีม แถมตัวหลักๆที่ไม่ได้เล่นในในยู-23 ยังมีลุ้นที่จะกลับมา ทั้ง เควิน ดีรมรัมย์, สุภโชค สารชาติ, อานนท์ อมรเลิศศักดิ์, ธนาสิทธิ์ ศิริผลา

ตัวผู้เล่นของทีมชาติไทยน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย และความพร้อมของสภาพสนามน่าจะดีกว่าทะเลโคลนที่ สนามศุภชลาศัย ถึงตรงนั้นจะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของ “โค้ชโย่ง” และทีม ยู-23 อย่างแท้จริง

แต่บอกเลยครับว่าซีเกมส์ครั้งนี้ไม่ง่ายแน่ๆ การไปเตะที่มาเลเชียเป็นงานยากของ “ช้างศึก” มาเนิ่นนานอยู่แล้ว อีกทั้งคู่ต่อกรในระดับอาเซียนหลายทีมทำผลงานได้ดีใน ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ที่เตะจบกันไปด้วย

ทว่าทางเลือกเดียวของทีมชาติไทยคือต้องคว้าเหรียญทองมาคล้องคอให้ได้ ผิดจากนี้มีดราม่าแน่นอน นี่คือเดิมพันที่สูงมากของ “โค้ชโย่ง” ที่ไม่เคยคิดถอดใจหรือกลัว ทั้งที่จะถูกเตะตัดขาตกเก้าอี้ตัวนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว

“โค้ชโย่ง” จะได้ไปต่อหรือไม่ ซีเกมส์ที่มาเลเชียน่าจะมีคำตอบ…..

“บับเบิ้ล”

แกก็คุมมาซักพักแล้ว หวังว่าทัวนาเม้นจริง จะทำผลงานได้ดีนะ

เพราะที่ผ่านๆ มา ส่วนตัวแล้วยังไม่ให้ผ่านเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับตัวนักเตะดีๆ ที่มีอยู่ในทีม

เอาตรง ๆนะ นักเตะดี แค่โค้ช ไหวพริบไม่ดี

ระบบที่ฝึกมาก มันต้องปรับได้ทุกรูปแบบ ไม่ใช่เอะอ่ะ โทษแต่สนาม

เมืองนอก ดิวิชั่นที่ต่ำ ๆ กว่า ลีก้า 1 หรือ 2 แทบจะซ้อมกับโคลน เลยก็ว่าได้นะครับ

(ที่เยอร์มัน)ฉนั้น ควร ไปปรับ ให้รับศึกได้ทุกรูปแบบ

ผมเห็นด้วยกับโค้ชโย่งนะว่า ต่อให้เมสซี่หรือโรนัลโด้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกันกับสภาพสนามแบบนี้
ผมว่าควรโทษคนจัดมากกว่า ว่าทำไมไม่ใช้สนามราชมังคลาตั้งแต่แรก ถึงฝนจะตกหรือไม่ตก
แต่สภาพสนามดีกว่ากันเยอะ มันทำให้นักเตะเล่นง่ายขึ้น ด้วยความสามารถนักเตะผมว่า 9แต้มเต็มแน่นอน
คิดจะยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น มันก็ควรให้นักเตะได้เล่นในสนามที่สามารถโชว์ความสามารถได้เต็มที่ครับ

ระวังมาเลย์จะปล่อยน้ำท่วมสนามในซีเกมส์เวลาไทยเตะ

ถ้าสนามดีแล้วเล่นได้แบบนัดเจอมาเลย์ ผมว่าซีเกมส์ก็น่าจะได้ลุ้นนะครับ ยังไงก็ให้โอกาสแกทำให้จบภาระกิจเถอะ

ถ้าโทดสนามก้อไม่แปลก ถึงแผนจะดีแต่การคอนโทรลบอลเลี้ยงบอลส่งบอลคือนักเตะ เขาก้ออยากจะทำให้ได้ล่ะแต่ละคนก้อทุ่มเท แต่มันไม่ได้ดังใจขนาดนั้น...

การแก้เกมยังไม่เห็นแน่ชัด ถ้าเจอทีมเคี่ยวๆหน่อย
อาจถึงแพ้ได้

ถ้าคิดงี้ แปลว่าถ้าเวลาคัดบอลโลก เจอทีมที่เหนือกว่าเรา ก็ให้มาเล่นสนามศุภ แล้วเราก็ซ้อมบอลวัดเอา แล้วอาจจะชนะได้รึเปล่า

สภาพสนามเป็นปัจจัยหลักครับ