ปรบมือดังๆชื่นชมขุนพลนักเตะแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ที่ป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ได้สำเร็จ แชมป์จากครั้งที่ 45 ทำให้มีสถิติซิวแชมป์ไปแล้ว 15 สมัย

ภาพรวมของ “คิงส์คัพ” ที่เพิ่งจบไปถือว่าประทับใจและชื่นมื่น ทั้งที่ก่อนแข่งขันหลายๆคนต่างลุ้นว่าจะเป็นอย่างไรเพราะกระแสค่อนข้างเงียบ ทั้งข่าวของทีมชาติไทยที่ไม่ค่อยเปรี้ยงและคู่แข่งที่ไม่ค่อยน่าดึงดูดใจ

แต่เอาเข้าจริงๆ “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 45 จบไปแบบประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ต้องยกความดีความชอบให้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ทีมชาติไทย และ “นักเตะคนที่ 12” อย่างแฟนบอลไทยที่ยังอยู่เคียงข้างกันเสมอ

ถึงตรงนี้ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ น่าจะหายใจทั่วท้องในทำนองยกภูเขาออกจากอก เพราะกระแสชื่นชมค่อนข้างมาก ไม่ค่อยมีเสียงวิพากษ์แบบจวกยับให้ได้ยินสักเท่าไร แต่ทั้งนี้คงมี “การบ้าน” ให้ไปทำกันอีกมากโขเลยครับ

ขอชื่นชมก่อนว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พยายามทำความเข้าใจกับแฟนบอลมาก ตอนนี้เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจคำว่า “ฟีฟ่าเดย์” และการเก็บคะแนนสะสมอันดับโลกของ “ฟีฟ่า” มากขึ้น โดยเฉพาะคำว่า “เอ แมทช์” ที่หลายคนไม่ค่อยยอมเข้าใจกันเสียที

สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ อาจจะเสียฟอร์มบ้างตรงที่ทุกเกมไม่ได้เป็น “เอ แมทช์” เหมือนที่เคยประกาศไว้ เนื่องจาก เบลารุส ไม่ได้ส่งทีมชุด “เอ” มาจึงไม่มีการนับคะแนน ตรงนี้ทำให้ทีมชาติไทยได้คะแนนสะสมเพิ่มขึ้นแค่เกมเดียวกับ เกาหลีเหนือ

ตรงนี้จึงเป็นการบ้านที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ต้องวางแผนให้ดีสำหรับครั้งต่อไป ทั้งการวางแผนกำหนดช่วงเวลาแข่งขันที่ควรจะสอดคล้องกับช่วงเวลา “ฟีฟ่าเดย์” เพื่อให้ทุกชาติที่เชิญไปจะได้ไม่มีปัญหาในการเลือกนักเตะชุดที่ดีที่สุดมาเล่น

ก้าวต่อไปของ “คิงส์ตัพ” ต้องเป็นเกมมาตรฐานระดับ “เอ แมทช์” ทุกเกมครับ ส่วนทีมที่เชิญมาในรูปแบบนี้ถือว่าโอเคอยู่นะ ทั้งจากเอเชีย ยุโรป และ แอฟริกาใต้ แต่ถ้าจะปรับเปลี่ยนเอา อเมริกาใต้ มาแทนบ้างน่าจะดี

สำคัญที่ว่าทีมที่มาควรจะเป็นระดับแม่เหล็กหรือดึงดูดใจแฟนบอลด้วย ที่สำคัญคือต้องเป็นทีมที่มีมาตรฐานเหนือกว่าไทยเพื่อให้นักเตะไทยได้เรียนรู้และพัฒนา ทีมที่เคยมาแล้วซ้ำๆและดูว่าไม่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่าง เกาหลีเหนือ ก็ควรลองเปลี่ยนๆบ้าง

เข้าใจครับว่าการเชิญทีมดีๆอันดับโลกสูงๆมาเตะแบบ “เอ แมทช์” ต้องลงทุนสูง แต่นี่คือถ้วยพระราชทานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของคนไทยครับ ดังนั้น สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ควรต้องลงทุนตรงนี้เพื่อให้ดีทั้งต่อภาพลักษณ์และพัฒนาการของทีมชาติไทย

สิ่งสำคัญคือการวางแผนนั่นละครับ ปีนี้เข้าใจว่าหลายๆอย่างฉุกละหุกไม่น้อย แต่ปีต่อไปมีระยะเวลาอีกมากที่จะทำให้ดี ดังนั้นต้องเริ่มลงมือทำกำหนดไปเลยใน “ปฎิทิน” ว่าจะจัดแข่งเมื่อไรแล้วเริ่มติดต่อทีมคัดแบบเน้นๆเอาไว้เลย

ไม่ใช่แค่ระบุคิว “คิงส์คัพ” นะครับ แต่ควรล็อกคิว “ฟีฟ่าเดย์” ด้วย เพราะปี 2018 ทีมชาติไทยไม่ค่อยมีโปรแกรมแข่งขัน เกมสำคัญอยู่ที่ปลายปีคือ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018” แต่ช่วงระหว่างปี “ช้างศึก” จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเตรียมทีมและสะสมอันดับโลก

เป้าหมายของ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คือการขยับอันดับโลกให้สูงเพื่อที่ “เอเชี่ยนคัพ 2019” จะได้ไปอยู่ในสลอตของการจับสลากที่ไม่ต้องเจอทีมระดับพระกาฬ ดังนั้น “คิงส์คัพ” และเกมในช่วง “ฟีฟ่าเดย์” คือการตอบโจทย์ตรงนี้

ทั้งหมดนี่คือการบ้านที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ต้องดำเนินการให้ดีที่สุด

ส่วนทีมชาติไทยของ มิโลวาน ราเยวัช ยังมีการบ้านให้ทำไม่น้อยเช่นกัน แม้การคว้าแชมป์ “คิงส์คัพ” ถือว่าทำผลงานได้ตามเป้าและเป็นการปลุกกระแส “บอลไทย ฟีเวอร์” อีกครั้ง แต่ภารกิจเบื้องหน้าที่ต้องก้าวต่อไปถือว่าหนักหนาไม่เบา

แข้ง “ช้างศึก” ต้องเตะฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย อีก 2 เกมที่เหลือกับ อิรัก และ ออสเตรเลีย เป้าหมายที่ทุกคนอยากเห็นคือ “ชัยชนะ” นี่คือภารกิจที่ “ราเยวัช” และนักเตะทีมชาติไทยต้องพยายามทำให้สำเร็จ

ถึงตรงนี้ “ราเยวัช” มีผู้เล่นในใจเกือบจะครบ 11ตำแหน่งแล้ว ดูแล้วน่าจะสัก 9 คนที่เป็นตัวหลักจริงๆ ส่วนอีก 2-3 ตำแหน่งต้องพยายามคัดสรรอย่างละเอียดหน่อย ใน “คิงส์คัพ” จะเห็นว่ากุนซือชาวเซิร์บใช้ผู้เล่นเพียงแค่ 14 คนจากทั้ง 2 เกม

“ราเยวัช” น่าจะเห็นอะไรบางอย่างหรือต้องการดูนักเตะบางคนกับแผนระยะยาว ที่แน่ๆแทคติกเกมรับแน่นยังทำได้ดี นักเตะ “ช้างศึก” ไม่เสียประตูเลยใน 2 นัดที่ผ่านมา แต่ถ้าว่ากันถึงเกมรุกหรือโต้กลับแม้นัดแรกจะยิง “โสมแดง” ได้ 3-0 แต่นัดชิงไร้สกอร์ ดังนั้นจึงอาจจะต้องปรับบ้าง

เท่าที่ดูผู้เล่นของ “ราเยวัช” ในแนวรุกยังไม่ค่อยเปรี้ยงปร้างเท่าไรนัก โดยเฉพาะเกมโต้กลับที่หากจะหวังผลชนะจำเป็นต้องมีทีเด็ดกว่านี้ แต่บางคนที่ได้โอกาสดูจะยังสอบไม่ผ่าน ตรงนี้ทีมงานต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก

การที่รุกไม่มันส์เลยทำให้สไตล์การเล่นของ “ราเยวัช” ถูกวิพากษ์พอสมควร แต่ก็นั่นละครับเป็นการเล่นตามแทคติกที่นำไปสู่ผลการแข่งขัน อาจจะเรียกว่า “ได้อย่างเสียอย่าง”

ทว่าทั้งหมดทั้งมวลยังคงต้องปรบมือให้และชื่นชมแฟนบอลไทยที่ยังตามให้กำลังใจนักเตะทีมชาติไทยกันเป็นอย่างดี แม้ว่าจะจำนวนจะไม่มากไม่มายถึงขั้นแย่งตั๋วกันดู แต่ถือว่าโอเคอยู่และเชื่อว่าหลังจากนี้กระแสจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิมไม่มากก็น้อย

ไม่ว่าจะแฟนบอลพันธุ์แท้หรือตามกระแสแต่อยากให้ทุกคนก้าวต่อไปด้วยกันกับทีมชาติไทย อย่ายึดติดที่ตัวบุคคลแต่จงยึดมั่นคำว่า “ทีมฟุตบอลของประชาชนคนไทย” ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะต้องสู้ไปด้วยกันเพราะเราคือ…..ไทยแลนด์

“บับเบิ้ล”

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าประทับใจในการแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพครั้งนี้

นั่นก็คือ

ทีมชาติบูกินาฟาโซครับ

เขียนดีจังครับ

พี่แกเล่นย่อแบบ ผู้หญิงให้ด้วย 555
ไปจำมาจากไหนนนนนนน

สู้ๆทีมชาติไทย

เหมือนกัน

สมาคม กรุณาเชิญมาอีก

นึกถึงสมัยที่มี โรมาเนีย และเดนมาร์ค มาแจม

โคตรเก่งไทยสู้ไม่ได้เลย ยิงไปสามเหลี่ยมโกล์ก็ยังเซฟได้

ต้องเอาระดับนั้นมาอ่ะ

ถ้า แมท เอ คลาส เราเก็บคะแนนไม่ได้ จะยิ่งอันดับรูดลงไปอีก

ถึงจะเชิญจริงๆ ผมก็ว่า ทีมเก่งๆ ไม่น่ามาคับ .. เค้าคงจะมองว่าเค้าเหนือเกินไป ไม่มี

ประโยชน์กับทีมเค้า ... เบลาลุสก็ดีแล้ว แต่ขอเป็นชุดใหญ่เต็มๆ เลยนะ

เช็คโปรแกรมดีๆ ทั้งๆของฟีฟ่า และ ชาติอื่นๆ เชิญตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ เขาจะได้เตรียมโปรแกรมบอลลีกไปในตัว

ชาติใหญ่ๆไม่จำเป็น แต่ให้เน้นชาติที่แรงกิ้งดีๆที่ไทยมีโอกาสชนะได้ อย่างยุโรป ทีมเกรด3-4ก็พอ เอาทีมดีๆมาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมาย เพราะถ้าเราด้อยกว่าแบบสู้ไม่ได้เลย มันไร้ประโยชน์สุดๆ

ถ้าคิดจะยกระดับทีมก็ต้องก้าวทีละขั้นมันจะได้ประโยชน์ เราจะเห็นพัฒนาการชัดเจน เห็นข้อผิดพลาดที่จะแก้ไขได้ง่าย

เจอบราซิลถล่ม8-1 เยอรมันถล่ม5-0 แล้วจะแก้อะไร ไม่ต่างจากชกข้ามรุ่น 108ปอนด์ไปท้าชก200ปอนด์

นับจากนี้ช่วงฟีฟ่าเดย์ต้องเน้นให้มากที่สุด ทำทุกวิถีทางให้อันดับเราติดTop100 เพื่อจะได้ง่ายต่อการแบ่งสายเอเชียนคัพ

ปีหน้าขอ ทีมชาติบูกิน่าฟาโซ อีกซักครั้งค้าบ

จัดทีมชาติอินเดียมาเลย อันดับดีมาก