บทความ เรื่อง "ตราพระมหามงกุฎ" เกียรติการรักชาติ
ในตำนานแห่งประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังโลก คงมีเพียงไม่กี่ทีมเท่านั้น
ที่ได้รับเกียรติยศสูงสุดจากสถาบันพระมหากษัตริย์
ให้นำตราประจำราชวงศ์มาติดเสื้อนักฟุตบอลทีมชาติ
ซึ่งองค์พระประมุขของประเทศทรงถือว่า
นักฟุตบอลเป็นผู้แทนของชาติ
อันเปรียบเสมือนนักรบยามออกศึกสงครามเพื่อแผ่นดิน
และหนึ่งในนั้น คือทีมชาติไทยทีมฟุตบอลชาติแรก
ที่ได้รับเกียรติยศนำตราประจำพระองค์ของกษัตริย์
ใช้เป็นสัญญลักษณ์บนหน้าอกเสื้อเหล่าขุนพลนักเตะผู้แทนของประเทศ
คือ “ทีมชาติอังกฤษ” เมื่อ สมเด็จพระราชินี ควีนส์ วิคตอเรีย (QUEEN VICTORIA) แห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
ได้ทรงมีพระบรมราชโองการอนุญาตให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศอังกฤษ
หรือ FA. (ก่อตั้ง ค.ศ. 1863) นำ “ตราสิงโตสามตัว”
มาติดที่ชุดแข่งขันผู้เล่นแดนผู้ดี
ใน ค.ศ. 1872 (ตรงกับ พ.ศ. 2415)
เพื่อลงสนามฟุตบอลระดับชาติครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังโลก
ระหว่าง ทีมชาติอังกฤษ กับ ทีมชาติสกอตแลนด์
จึงเป็นที่มาฉายา “สิงโตคำราม” จึงทำให้ FA.
ของอังกฤษไม่เคยคิดหรือทำการเปลี่ยนแปลงตราดังกล่าว
จนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 135 ปี
อนึ่ง สิงโตสามตัว หรือ “GULES THREE LIONS PASSANT GUARDANT”
ถือเป็นตราประจำแผ่นดินของประเทศอังกฤษ
โดย พระเจ้าเฮนรีที่ 2 ได้นำสิงโตตัวเดียวมาเป็นตราประจำพระองค์
ก่อนเป็นสมัยแรก ต่อมา พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 จึงเพิ่มสิงโตเป็นสามตัวดังกล่าวเช่นปัจจุบัน อันหมายถึงแผ่นดินอังกฤษ, นอร์มังดี และอากีแทน
จนถึงสมัย พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 3 ได้ให้แบ่งตราออกเป็นสี่ส่วน
และหนึ่งในสองส่วน คือ “สิงโตสามตัว”
(อีกสองส่วนเป็นสัญญลักษณ์ฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ)
ภายหลังแห่งปฐมบท “ตราสิงโตคำราม” ของทีมชาติอังกฤษ
อีก 43 ปีต่อมา “ทีมชาติไทย” หนึ่งในชาติที่มีตำนานสัญญลักษณ์อันทรงเกียรติยศ
จึงได้รับตราพระราชทานจากสถาบันพระมหากษัตริย์
เมื่อรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี
สมัยดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ทรงเคยศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ดังนั้น ภายหลังขึ้นครองราชย์
จึงทรงมีพระราชดำริจัดตั้งทีมชาติชุดแรกของสยาม
หรือเรียกกันทั่วไปว่า “คณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม”
และที่สำคัญ คือวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2458
ณ สนามสามัคยาจารย์สมาคม ภายในบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน “ตราพระมหามงกุฎ”
ให้แก่นักเลงฟุตบอลทีมชาติสยามเพื่อเป็นเกียรติยศการรักชาติ
ในการลงแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ (วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2458)
คณะฟุตบอลสยาม กับ สปอร์ตคลับ นับเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมชาติไทย
โดยปรากฏจดหมายเหตุ คำกล่าวของ
พระยาประสิทธิ์ศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ ณ อยุธยา) สภานายกคณะฟุตบอลแห่งสยามคนแรก (ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “เจ้าพระยารามราฆพ” เมื่อ พ.ศ. 2462) ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพ ฯ เดลิเมล์ ฉบับวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2458 ดังนี้ (ภาษาและตัวสะกดสมัยนั้น)
“...หมวก เครื่องหมายความสามารถฟุตบอลที่ท่านจะได้รับไปในเวลาอีกสักครู่นี้
ก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราพระมหามงกุฎ
ซึ่งควรรู้สึกว่าเปนเกียรติยศการรักชาติ ย่อมจะแสดงได้หลายสถาน
แต่การที่ท่านตั้งใจเข้าเล่นแข่งขันให้ถึงซึ่งไชยชนะให้แก่ชาติในคราวนี้
ก็เปนส่วนหนึ่งแห่งการรักชาติ...”
อนึ่ง “พระมหาพิชัยมงกุฎ” คือราชสิราภรณ์ ที่สร้างขึ้นเมื่อรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1
ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เรียกว่า “เบญจราชกกุธภัณฑ์”
สำหรับพระมหากษัตริย์ไทย อันประกอบด้วย
พระมหาเศวตฉัตร, พระมหาพิชัยมงกุฎ, พระแสงขรรค์ชัยศรี,
ธารพระกร, วาลวิชนี และฉลองพระบาทเชิงงอน
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลักปฏิบัติแบบเดียวกับพระราชสำนักยุโรป
โดยจะถือว่า “ภาวะแห่งความเป็นกษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎ”
ในรัชสมัย “พระผู้พระราชทานกำเนิดฟุตบอลสยาม” รัชกาลที่ 6 นั้น
ทีมชาติสยามจะสวมเสื้อสีแดงคาดขาว และมี “ตราพระมหามงกุฎ”
ที่อกเสื้อด้านซ้าย สำหรับการลงแข่งขันระหว่างชาติ
ผลปรากฏว่าไม่เคยปราชัยให้แก่ชนชาวต่างชาติ แม้แต่นัดเดียว
นอกจากนี้ ทีมชาติสยามยังสามารถชนะเลิศรายการต่าง ๆ
อาทิ ถ้วยราชกรีฑาสโมสร (พฤศจิกายน 2458),
ถ้วยทองหลวง (ธันวาคม 2458) และถ้วยปอลลาร์ด (มกราคม 2458 การแข่งขันระหว่าง ทีมสยาม, ทีมอังกฤษ และทีมสกอตแลนด์)
ซึ่งเกียรติภูมิดังกล่าวของทีมฟุตบอลชาติไทย มีการนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ระหว่าง พ.ศ. 2458 - พ.ศ. 2459 (วันที่ 1 เมษายน คือวันขึ้นปีใหม่ หรือ พ.ศ. ใหม่ของสยามประเทศ)
“...วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2458
การแข่งขันฟุตบอลสำหรับถ้วยปอลลาร์ด ณ สนามราชกรีฑาสโมสร
รอบสุดท้าย ระหว่าง คณะฟุตบอลสยาม ชนะ คณะชาวอังกฤษ
เมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
พระราชทานถ้วยปอลลาร์ด ให้แก่ผู้เล่นฝ่ายคณะฟุตบอลสยาม…”
ภายหลังเดือนธันวาคม 2459 รัชกาลที่ 6 จึงทรงโปรดเกล้า ฯ
ก่อตั้ง “ทีมในหลวง” ขึ้น โดยการคัดเลือกบรรดานักเลงฟุตบอลรายการถ้วยทองหลวงหรือถ้วยทองนักรบ เพื่อลงเล่นกับชาวตะวันตก
สำหรับรายการที่มิใช่การแข่งขันระหว่างชาติ
กล่าวกันว่า คือกศุโลบายในการรักษาเกียรติภูมิของทีมชาติไทย นั้นเอง
เมื่อ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จสรรคตแล้ว
ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
คณะฟุตบอลแห่งสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
ยังคงใช้ “ตราพระมหามงกุฎ” เป็นสัญญลักษณ์บนเสื้อทีมชาติ
โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างชาตินอกประเทศครั้งแรกของทีมชาติสยาม
คือเดือนเมษายน พ.ศ. 2473 การเดินทางไปแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยผู้สำเร็จราชการของฝรั่งเศส ณ เมืองไซง่อน ประเทศเวียดนาม
นัยว่าเป็นการทดสอบฝีเท้าเพื่อเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลตามคำเชิญของฟีฟ่า
แต่ในที่สุดต้องยกเลิก เนื่องจากต้องใช้เงินแผ่นดินเป็นจำนวนมากและการเดินทางไปทวีปอเมริกาใต้ ยังต้องเดินทางด้วยเรือเป็นเวลาแรมเดือน
ทำให้ทีมชาติสยามจึงมิได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งแรก (ค.ศ. 1930) ณ ประเทศอุรุกวัย
ภายหลังคณะราษฎร์ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 ทีมชาติไทยจึงเปลี่ยนไปใช้ “ธงไตรรงค์” (รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานให้เป็นธงประจำชาติเมื่อ พ.ศ. 2460) แทน “ตราพระมหามงกุฎ” ตามสถานการณ์ของบ้านเมือง
ปัจจุบัน ตราพระราชทาน “พระมหามงกุฎ” มีอายุกว่า 92 ปี
เยาวชนคนไทยรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เคยเห็นสัญลักษณ์ดังกล่าวบนเสื้อขุนศึกนักเตะธงไตรรงค์อีกเลย เนื่องจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
ได้ใช้ตราที่ชนะเลิศการประกวด เมื่อ พ.ศ. 2545
เป็นสัญลักษณ์บนเสื้อทีมชาติไทย แต่ทว่าความขลังและศรัทธาเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย กับปฐมบทประวัติศาสตร์ “ตราพระมหามงกุฎ”
ในขณะที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศอังกฤษ ยังคงใช้
“ตราสิงโต” ที่แสดงถึงเอกภาพ และความสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียว
โดยมีที่มาจากสถาบันสูงสุด นอกจากแสดงถึงการสืบทอดเจตนารมณ์ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของแผ่นดิน
อดีตที่ผ่านมา ทีมชาติไทยเคยมีตราพระราชทานจากสถาบันพระมหากษัตริย์
เพื่อแสดงถึงการรักชาติ เช่นเดียวกับทีมชาติอังกฤษ
คงจะเป็นการดีหากในปีมหามงคล โดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ จะได้นำตราแห่งเกียรติภูมิทีมชาติไทย “ตราพระมหามงกุฎ”
กลับมาอยู่บนหน้าอกเสื้อนักฟุตบอลทีมชาติไทยอีกครั้ง
ในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 38 รายการแข่งขันฟุตบอลระดับชาติเพื่อร่วมฉลองพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พระมหากษัตริย์นักกีฬา พระราชาแห่งฟุตบอลสยาม” และสมดังพระราชประสงค์ของ สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ล้นเกล้าฯ ของวงการฟุตบอลเมืองไทย.
จิรัฏฐ์ จันทะเสน ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
Credit :
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1037315926322014&id=215072768546338&substory_index=0
ปล ผมว่าตราพระมงกุฎ สวยกว่าโลโก้ช้างน้อยแน่นอน ของดีมีอยู่แล้วแต่ไม่ใช้
เสื้อ100ปีสวยมาก
เชิญชวน like page ตามcreditหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ