“เฮงซัง”วิทยา เลาหะกุล ประธานพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เผยดีเดย์วันอังคาร ที่25 เม.ย.นี้ส่งรายชื่อว่าที่โค้ชทีมชาติไทยประมาณ 3 รายที่ผ่านการสัมภาษณ์แล้วให้ “บิ๊กอ็อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พิจารณาขั้นตอนสุดท้าย ยืนยันไม่ต้องการโค้ชบิ๊กเนมชื่อดังแต่ต้องการคนเข้ามาพัฒนาทีมชาติไทยและมีแนวทางทำทีมฟุตบอลที่ชัดเจนมากกว่า

ภายหลังจากที่มีโค้ชชาวต่างชาติพาเหรดกันมายื่นโปรไฟล์นำเสนอตัวเองเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทยให้ “เฮงซัง”วิทยา เลาหะกุล ประธานพัฒนาเทคนิค เป็นคนสัมภาษณ์เบื้องต้น รวมทั้งที่ยื่นโปรไฟล์มาทางอีเมล์ของ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯรวมแล้ว100 กว่าคน

ล่าสุด “เฮงซัง”วิทยา เลาหะกุล เปิดเผยว่า “อยากที่บอกกันไปว่ามีทั้งโค้ชที่เดินทางมายื่นโปรไฟล์ด้วยตัวเองร่วมทั้งส่งมาทางอีเมล์เป็นร้อยกว่าคน เนื่องจากโค้ชฟุตบอลทั่วโลกตกงานกันเยอะมาก ซึ่งเราก็ได้พิจารณาไปแล้ว ไม่น่าจะเกินวันอังคาร ที่ 25 เม.ย. นี้จะส่งรายชื่อให้กับ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯพิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท้ายว่าจะเลือกเอาใคร”

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีอยู่ในใจแล้วหรือยัง “โค้ชเฮง” ยืนยันว่า “ เราเฟ้นรายชื่อเอาไว้คร่าวๆประมาณ 2-3 คน มีอยู่คนหนึ่งฟรีเซ้นต์ดีมากแต่เขาเป็นได้แค่โค้ชไม่ใช่เฮดโค้ช เพราะเราไม่ต้องการให้บริหารทีมฟุตบอลแค่ห้องเสื้อผ้า หากแต่ต้องดูแลภาพรวมที่กว้างกว่านั้น โดยเราได้ตั้งธงเอาไว้ว่า โค้ชไม่จำเป็นต้องมีโปรไฟล์หรูมีชื่อเสียงโด่งดัง"

" เพราะในอดีตก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า เอาโค้ชชื่อดังมาทำทีมไม่ว่าจะเป็น ปีเตอร์ รีด ,ไปรอัน ร็อบสัน มีไอเดียแค่พาเด็กลงเล่นน้ำ เล่นลิง สมอลไซค์เกม ลงทีมมันไม่มีประโยชน์ ขณะเดียวกันทีมชาติไทย ไม่ได้มีนักเตะเก่งฉกาจระดับโลก ที่จะต้องใช้โค้ชมีชื่อเสียงมาช่วยปลุกเร้านักเตะนั่นมันคือทีมชาติที่เขายิ่งใหญ่แล้ว แต่เราต้องการโค้ชมาช่วยพัฒนานักเตะมากกว่ามันเป็นเรื่องตรงจุดสุดๆคือสิ่งนี้”

“นอกจากนั้นเราก็อยากจะเห็นโค้ชที่ทำทีมแบบมีปรัชญาว่าทำทีมอย่างไรให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยเกมฟุตบอลที่มาจากไอเดีย ตามวิธีการของโค้ชฟุตบอล โค้ชคนนั้นต้องคิดเป็น ทำเป็น เพราะการทำทีมฟุตบอลทีมชาติไทยสมัยนี้ไม่มีแล้วชนะรับเงินอัดฉีด30 ล้านมันโบราญไป อีกทั้งเรามีฝ่ายตรวจสอบการทำงานไม่ใช่แค่ว่ามีผลงานจะผ่านหากแต่ต้องมีแนวทางการทำทีมที่ชัดเจนตามหลักสากลด้วย” เฮงซัง” กล่าว

ที่พูดมาทั้งหมด

หากเป็นโค้ชโนเนมมันก็ไม่รู้วิธีการที่จะพัฒนาทีม

เพราะมันไม่เคยมีประสบการณ์การคุมทีมในะดับฟุตบอลโลกมาก่อน

ตรงข้ามแต่หากเป็นโค้ชที่มีชื่อเสียงมีประสบการณ์ระดับฟุตบอลโลก

เค้าก็จะมีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน รู้ว่าต้องพัฒนาตรงไหน แก้ตรงไหน

สรุป มันก็ควรเป็นโค้ชที่มีชื่อเสียงอยู่ดี...

ก็ต้องการพัฒนาระยะยาว ไอเดียแบบนี้ สเปคแบบนี้ก็เหมาะสมแล้ว
เราไม่ได้ต้องการกระแสจากโค้ชดังๆ
เราต้องการแค่พัฒนาก้าวไปสู่เอเชีย พัฒนาทั้งนักเตะ โครงสร้าง และบุคลากรเพื่อพร้อมสำหรับโอกาสในเวทีเอเชียที่ท้าทายมากขึ้น

อ่านเนื้อหาที่พูดแล้ว รู้สึกดีนะ ถ้าหาโค้ชตามอุดมคติแบบที่ต้องการไทย

มองให้ออกว่าเราอยู่จุดไหน แล้วจุดไหนเราต้องพัฒนา ถ้าเป็นไปตามนี้อนาคตบอลไทยสดใสแน่นอน

โค๊ชเฮงตรงดีนะ
พูดประมาณว่าส่งมา100คนเนี่ย
เพราะตกงานเยอะ555

ส่วนเรื่องพัฒนา โปรไฟล์แค่ส่วนหนึ่งนะ
แผนพัฒนาทีม ทีมงาน นั่นเรื่องสำคัญกว่า
อย่างที่โค๊ชเฮงแกบอกแหละ
มีแผนพัฒนา มีจิตวิทยา มีทีมงานตามผลงาน
ไม่ใช่เรียกมาตามชอบ ซ้อม ลงทีม เล่นฟิตเนส
ไม่ได้ประโยชน์ เพราะส่วนนั้นสโมสรทำอยู่แล้ว...

การเลือกโค้ชก็เหมือนแทงม้าอะ บางคนดูดีแต่พอเอาเข้าจริงผลงานไม่เป๊ะ บางคนดูไม่เข้าท่าที่ไหนได้ดันคลิ๊กซะงั้น

เหมือนกับที่เชฟเว้นซ์ ที่คนไทยไปซื้ออะ ปลดคนเก่าที่พาทีมจากหนีตกชั้นกลายเป็นกลางตาราง แฟนบอลโมโหมาก แต่โมโหหนักตรงที่ไปเอาโค้ชโปรตุเกสแบบไร้ที่มาที่ไป ผลงานก็ไม่เป้นที่รู้จัก ที่ไหนได้เกือบพาเลื่อนชั้นมาพรีเมียร์ลีค

หากเปรียบกับนักเตะก็คงเหมือน มาซิยาล มายังไงก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้จัก นักเตะแมนยูเองยังงงว่า "นี่ใครวะ" ที่ไหนได้พอได้ลงเล่นปุ๊บโหดทันทีแบบคาดไม่ถึง


เพราะงั้นเรื่องโค้ชทีมชาติส่วนตัวคิดว่าเฉยๆอย่าไปบ้าจ่ายเยอะก็พอ เอาพวกที่เล่นแบบมีระบบทีมดีกว่าหรืออย่างน้อยก็พวกที่เข้ากับระบบของเอคโคโน่ เพราะไหนๆก็จ้างเขามาวางระบบการเล่นรุ่นเยาวชนแล้วก็ควรจ้างโค้ชใหญ่ที่มีวิธีการใกล้เคียงกันมาทำงาน

เป้าหมายตรง ชัดเจรครับ อยู่กับสิ่งที่มีที่เป็น แต่ดีที่สุด

โค้ชมีชื่อเสียงในความหมายข งโค้ชเฮงคือ เอ่อชื่อมาเราก็รู้จัก อาจจะเพราะเคยเป็นนัก้ตะดัง

โค้ชไม่ดัง สมัยเป็นนักเตะก็ไม่ดัง บางคนเราแทบไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ แต่พอเป็นโค้ชอย่างเก่ง แต่เพราะคุมทีมเล็กคนเลยไม่รู้จัก ชึ่งถ้าเราเคยดูเวลาทีมที่เขาคุมบางนัดเขาเล่นดีมากๆ บางคนพาทีมเล็กๆเบียดทีมใหญ่ ชึ่งไอ้โค้ชประเภทนี้แหละน่าสนใจ แต่ข้อเสียอย่างเดียวคือ แบกความกดดันได้ไม่ดีถ้าก้าวข้ามมากไป จากทีมกลางๆไปคุมทีมลุ้นแชมป์ ต้องให้ขึ้นมาทีละก้าว อย่สงเร่งรัดจนเกินไป

พอซ ถ้าย้ายจากเซามาแมนยู เชลชี ผมว่าเละน่ะ ความกดดัน ความคาดหวังมันสูง แต่พอมาทำสเปอร์ส ผลงานก็อย่างที่เห็น ปรับจูนทีมได้ลงตัว เพราะทีมไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายแค่ทำทีมเพื่ออนาคตวางรากฐานก่อน 3-4ปีค่อยขึ้นไปท้าชนทีมใหญ่ในการลุ้นแชมป์

ผมเห็นด้วยกับโค้ชเฮงทั้งหมดเพราะแกอ่านขาดว่าเราต้องพัฒนาอะไร ขาดจุดไหน ไม่ใช่จ้างเพราะเขาดังอย่างเดียว