optino พิมพ์ว่า:
แล้วถามหน่อยครับว่าพวกที่จบเพียวมาจริงๆเขาอยากเป็นครูกันหรอครับ? ถ้าอยากเป็นทำไมไม่เรียนครูแต่แรก? พวกนี้ก็แค่เฟลในสายอาชีพตัวเองแล้วหันมาหาสิ่งอื่นที่ให้ความมั่นคงแล้วก็อ้างว่าตัวเองรู้เยอะรู้ดีกว่าพวกครูแค่นั้นแหละ
ประเด็นนี้ ผมขอเสนอความเห็นหน่อยนะครับ 55555
- พวก Pure ไม่ว่าจะ Pure science หรือ Pure ทางศิลป์ (เช่น อักษรศาสตร์)
ถ้าอยากเรียนครู ทำไมไม่เรียนครูตั้งแต่แรก
ผมมองว่า : มันเป็นไปได้แบบที่ท่านคิดจริงๆครับ ผมเห็นด้วย
คือเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจเป็นครูแต่แรก (บางคน)
แต่เรื่อง "คุณภาพการเป็นครู" / "สิทธิในการสอบครู" / และสิทธิในการประกอบอาชีพอื่นๆ
มันก็ไม่ควรถูกประเมินด้วยมุมมองเพียงเท่านี้
เพราะอะไร ? เพราะถ้าประเมินด้วยมุมมองแบบนี้
ผมจะถามกลับบ้างว่า
แล้วคนที่เรียนครูมาแต่แรกหล่ะ ทุกคนหรือเปล่าที่อยากเป็นครู ?
หรือผมอาจจะถามวิศวกรที่ทำงานอยู่บ้างว่า
" คุณอยากเป็นวิศวกรจริงหรอ หรือคุณอยากเป็นแพทย์ แต่พลาดสอบแพทย์ไม่ได้
ดังนั้น คุณไม่ควรวิศวกรที่ดีได้ ไม่งั้นทำไมคุณไม่ไปเรียนแพทย์แต่แรก
...คุณมาเรียนวิศวกร เพราะคุณเฟลกับสายอาชีพแพทย์เท่านั้น"
ถ้าเป็นแบบนี้ มันก็ไม่ใช่นะผมว่า
ทำนองเดียวกัน จะบอกว่า พวก Pure Sci ตกงาน / เฟลกับสายอาชีพ
แต่เขาก็ควรมีสิทธิที่จะสอบแข่งอยู่นะ และไม่สามารถด่วนสรุปว่า
ถึงแม้เขาจะเฟลกับสายอาชีพเขาจริงๆแล้วเขาจะไม่สามารถเป็นครูที่ดีได้
ผมถึงคิดว่า ควรให้ลองไปสอบแข่ง(วิธีไหนอีกเรื่องนึงนะ) วัดกันไปเลยครับ
ผมเชื่อว่า คนเรียนครูเก่งๆเยอะแยะ ไม่ใช่จะแพ้เด็กเพียวเสมอไป
ซึ่งสุดท้าย ผลประโยชน์ตกอยู่ที่เด็กแน่นอน
-----------------------------------------------------------------
อันล่างนี่ ไม่เกี่ยวกับที่ผม Quote ของท่าน Optino มานะครับ
แต่ผมขอตอบมัดรวมในนี้เลย
- ส่วนประเด็นที่มองว่า พวกที่จะมาสอบได้ คงไม่เชิงเป็นพวก Top หรอก
เพราะผลตอบแทนอาชีพครู ไม่ถึงกับมาก
ผมขอตอบว่า
ยิ่งคนมาสอบเยอะ แนวโน้มของผลลัพธ์
มันควรจะได้ "คนที่เก่งมากกว่าเดิมหรือเก่งเท่ากับ"
การให้คนกลุ่มเดิม(กลุ่มที่เล็กกว่า) สอบ ไม่ใช่หรอครับ ?
โอเคว่าอาจจะไม่ได้ครูเป็นคนเก่งระดับสุดยอดก็จริง
เพราะคนเก่งก็คงกองกันที่คณะอื่น ไปทำอาชีพอื่น
... แต่ก็คงได้คนที่เก่งขึ้นแน่นอน หรือไม่ก็เก่งเท่าเดิม กับกฎเก่า
(คือยังไงมันก็ต้องดีขึ้นอ่ะ)
ผมคิดไม่ออกว่า มันจะได้ครูที่อ่อนๆมากกว่าเดิมได้ยังไง
ก็ในเมื่อถ้าสอบแข่งกันแล้ว ถ้าเขาทำได้คะแนนดีในระดับที่ได้รับคัดเลือก
ก็แปลว่า เขาเป็นเลิศเหนือคู่แข่ง ณ สนามสอบนั้น ถูกมั้ยครับ
(ก็เวลามันเลือกคนสอบติด มันวัดไล่จากบนลงล่างหนิ)
ซึ่ง "การแข่งขัน" มันจะกรองครูเก่งๆออกมาเอง จะเก่งกว่าเดิมมากแค่ไหน ก็อีกเรื่อง
(ไม่มีหรอกที่ให้คนสอบเยอะกว่าเดิม แล้วห่วยลง - พูดถึงแค่แง่เชิงวิชาการนะ)
เพราะงั้น ไม่ต้องกังวลหรอกประเด็นนี้หรอก ว่าเปิดให้คนสอบเยอะมากขึ้น
แล้วคุณภาพทางวิชาการของครูจะด้อยลง มันมีแต่จะเท่าเดิมกับเพิ่ม
ส่วนเรื่อง "จริยธรรม" อันนี้ผมไม่กล้าพูดไรมาก
เพราะเอาจริงๆมันวัดลำบาก คนเรียนวิชาจริยธรรมมา 2 ปีเต็ม 100 หน่วยกิต
จะบอกว่า สอนเด็กได้ดีกว่า ฟังแล้วผมทะแม่งๆ
คือมันก็ไม่แน่เสมอไป *ยังมีอีกหลายอย่างให้คำนึงถึง ขอเลี่ยงตัวนี้ไปครับ ไม่งั้นยาว*
ดังนั้นตัวชี้วัด ที่ผมว่าสำคัญจริงๆแล้วมันพอจับต้องได้เบื้องต้น
ก็เป็นเรื่อง "ความสามารถทางวิชาการ" เนี่ยแหละ
แล้วถ้าหากจะคิดว่า "ครูขอดีไว้ก่อนนะ เรื่องวิชาการเรื่องรอง"
ผมว่าน่ากังวลกับความคิดนี้นะ
เพราะฟังก์ชั่นหลักของการเป็นครู ก็ต้องวิชาการแตกฉานด้วย ดีด้วย
จะบอกอันไหนรอง หลัก มันก็ไม่ใช่มั้งครับ
ไม่งั้น จะยิ่งเห็นความเหลื่อมล้ำรุนแรง (ซึ่งได้เกิดขึ้นมานานแล้วในประเทศนี้)
คือสมมติไม่มีเงินเรียนพิเศษกับเหล่าครูติวเตอร์เก่งๆ
โอกาสก้าวเข้าไปในคณะท้อปๆก็เสียเปรียบลูกคนมีเงินไปหลายช่วงตัวแล้ว
เพราะงั้น ถ้าได้ครูที่แตกฉานวิชาการ ผมว่าอย่างน้อยๆเลยนะ
เด็กที่ไม่ค่อยมีเงิน เขาจะได้ลดความเหลื่อมล้ำตรงนี้ไปได้บ้าง
เพราะเขายังสามารถตักตวงเนื้อหาวิชาการจากครูเก่งๆที่โรงเรียนตัวเองได้
-----------------------------------------------------------------------------
- แล้วอย่างวันก่อน ที่ถกเรื่องความแฟร์ ว่าทำไมวิชาชีพอื่นไม่เปิดสอบบ้างหล่ะ
ผมก็บอกแล้วว่า วิชาชีพอื่นๆ เช่น แพทย์ วิศวะ เขาจะกลัวหรอครับ
เปิดให้สอบมันทั้งประเทศเขายังไม่กลัวเลย ว่าใครจะมาแย่งงานเขาได้
เพราะโดย "ธรรมชาติ" ของวิชาชีพพวกนี้ มันเฉพาะทางมากๆ
ซึ่งต่างจากสายครูที่มันมีส่วนคาบเกี่ยวอยู่
แต่ก็อย่าลืมคำนึงถึงด้วยนะว่า
เหล่าคณะ พวกตระกูลแพทย์ + วิศวะ + คณะวิชาชีพที่เป็นเฉพาะทางมากๆ
คณะพวกนี้ แทบจะทั้งหมด ตอน Entrance เข้าไป
เขาก็แข่งขันกับคู่แข่งทั่วประเทศมาแล้วเช่นกัน
แล้วแข่งกันดุเดือดมากๆด้วยซ้ำ
ซึ่ง ณ จุดการ Entrance นี้ คณะสายครู แข่งขันกันเท่านี้หรือไม่ ?
ดังนั้นผลที่ออกมา เราจึงมักเห็นว่า ความเข้มแข็งของวิชาชีพ มันก็ต่างกัน
ยกตัวอย่างคณะแพทย์ ปีหนึ่งรับนักศึกษาได้เท่าไหร่เองครับ ไม่น่าถึง 2000 (ผิดขออภัย)
แล้วครุศาสตร์ รับได้เท่าไหร่ ?
ผมสมมตินะ : คนที่ตั้งใจสอบคณะ Pure วิทย์ แล้วสอบไม่ติด เขามีสิทธิโวยไหมครับ
ทำไมให้เด็กโรงเรียนเก่งๆมาสอบแข่งกับเขา
ทำไมไอพวกเก่งๆไม่ไปเรียนแค่ที่แพทย์ วิศวะ ... มาเรียนวิทย์ทำไม
นายแค่เฟลกับการเข้าคณะแพทย์ เลยมาเรียนคณะ Pure วิทย์ใช่มั้ย ?
---> ซึ่งมันก็ไม่เคยมีประเด็นแบบนี้ขึ้นมา ใครมีคุณสมบัตืมาสอบได้
แล้วแข็งกว่าก็สมหวังไป ก็เท่านั้น นี่แหละคือแฟร์
สุดท้าย หลักๆมันก็เรื่องของการแข่งขันอ่ะครับ
ถ้าการแข่งขันรุนแรงมาก เด็กก็น่าจะได้ประโยชน์มากขึ้น
คนเสียประโยชน์ก็ต้องมีแน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่าแข่งขัน ต้องมีคนแพ้
- ทิ้งท้ายนะ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องการกังวลเรื่องการแย่งอาชีพซะมากกว่าหรือเปล่าเนี่ย
เพราะผมก็มองไม่ออกว่ามันถ่วงวงการการศึกษาอย่างไร
ผมอาจจะมองไม่เห็นในประเด็นอื่นๆนนะ ถ้าคิดไม่เหมือนผมไม่เป็นไรครับ
- เออ ผมงงนะ
ทำไมครูถึงกลัวการแย่งงาน (ถ้าจริงนะ)
เพราะผมเห็นอาชีพอื่นๆในตลาดบ้านเรา แทบทุกอาชีพ เขาก็อยู่ท่ามกลางการแข่งขันอยู่แล้วทั้งนั้น
เช่น ผมจบ Marketing ผมอาจโดนเด็ก Econ แย่งงานด้านการตลาดไปก็ได้
หรือผมจบรัฐศาสตร์ ไม่ได้แปลว่าผมจะได้เป็นนายอำเภอ
และมีอาชีพอีกมากมายเหลือเกิน ที่ผมเห็นว่าเขาก็โยกไปทำ แย่งกัน แข่งกัน ตลอดเวลา
คณะที่ถูกมองว่า ไม่ได้ถูกแย่งอาชีพ ตอน ป.ตรี
.... ก็อย่างที่ผมบอกไป
ว่าคณะพวกนี้ ตอน Entrance เขาก็แข่งกันเลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน
เขาเป็นผู้รอดชีวิตในสมรภูมิ ตั้งแต่วัยเด็กด้วยซ้ำไป