ย้อนรอย "ประตูผีในตำนาน"
*******************
หากเอ่ยถึง "เยอรมัน-อังกฤษ" เราย่อมนึกถึงความเป็นอริและอาฆาต แต่บางครั้งโลกมนุษย์ก็มักมีความสัมพันธ์ที่สุดแปลกดังเช่นทั้งสองชาติดังกล่าวที่ใครจะเชื่อครับว่าครั้งหนึ่งทั้ง อังกฤษ และ เยอรมัน นั้นเคยเป็นปึก "ผืนแผ่น" เดียวกัน
เดิมที "สิงโตคำราม" และ "อินทรีเหล็ก" กำเนิดมาจากชาติเดียวกัน ต้นกำเนิดของทั้งสองต่างเป็นชาว "เยอรมานิค" ก่อนที่ อังกฤษจะแตกหน่อออกไปยึดเกาะอังกฤษแล้วกลายเป็นชาว "แองโกล" นับตั้งแต่นั้น
ใช่ที่เราอาจเคยเห็นทั้งสองชาติรบกันเอาเป็น-เอาตายในสงครามโลกครั้งที่ 1, ถูกอีกที่เรื่องการเมืองของทั้งสองถือหางคนละขั้วแต่ในรอยร้าวที่ปรากฏบนหน้าสื่อเบื้องลึกแล้วด้วยดีเอ็นเอที่เข้มข้น
ทั้งสองต่างยังคงรู้สึกว่าทั้งกันและกันยังคงเสมือนพี่น้องกัน
กระทั่ง ฮิตเลอร์ ที่เคยมีบางรายงานกล่าวว่าเจ้าตัวเคยเลือกที่จะไม่ยิงทำลายล้างเมืองหลักๆของอังกฤษเนื่องเพราะความที่มีเชื้อไขเดียวกัน
กระนั้นมีอยู่หนึ่งเหตุการณ์ในวงการฟุตบอลที่ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติเกือบขาดสะบั้น
เป็นเหตุการณ์ที่แม้ผ่านมาเนิ่นนานกว่า 51 ปีแล้วแต่จนถึงทุกวันนี้ยังกลายเป็นที่ถกเถียงไม่จบไม่สิ้น
เป็นชัยชนะกังขาที่ทำให้แม้ อังกฤษ ถูกจารึกชื่อในฐานะทำเทียบแชมป์โลกได้สมใจอยาก แต่นั่นก็ทำให้ความสำเร็จครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของพวกเขาถูกมองว่าเป็น "ตราบาป" ที่ประทับรอยอยู่และไม่มีวันหายไป
"โกสต์ โกล" หรือประตูผีของ "เซอร์ เจฟฟ์ เฮิร์สท์" ในตำนาน!
"ทางเดียวที่พวกอิงลิชชนจะเป็นแชมป์ก็คือจัดบอลโลกที่บ้านของมันเอง แล้วมันถึงจะมีโอกาสเป็นแชมป์แบบที่มันโกงพวกเรา"
- คำปรามาส, ดูถูก, ถากถาง หรือไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่เชื่อได้เลยว่าวลีนี้หาได้ทั่วไปและอยู่ในเบื้องลึกจิตใจของชาวเยอรมันแทบทุกคน
.
ก็ไม่แปลกครับที่พวกเขาจะคิดร้ายเช่นนั้น เมื่อครั้งหนึ่งพวกเขาเจอเหตุการณ์ "วิปโยค" ที่ทำให้พวกเขาต้องพบกับฝันร้ายที่คนยุคนั้นไม่มีวันลืมเลือน...
30 กรกฏาคม 1966 นั่นคือวันที่ชาวที่เรียกตนเองว่าผู้ดีมีความสุขที่สุดในโลก ขณะเดียวกันแฟนบอลจากเมืองเบียร์ที่เข้าชมเกมดังกล่าว...
อยู่ในสภาพไม่ต่างกับ "ตายทั้งเป็น"
ย้อนกลับไปเมื่อนัดชิงฟุตบอลโลกปี 1966 ในครั้งนั้นทีมชาติอังกฤษได้รับหน้าสื่่อเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ปีนั้นลูกทีมของ เซอร์ อัลฟ์ แรมซี่ย์ รวมถึงสาวกทั่วประเทศต่างหมายมั่นปั้นมือเนื่องจากมีอยู่หนึ่งตราบาปที่พวกเขาพวกเขาไม่เคยทำได้
นั่นก็คือการซิวถ้วย "เวิลด์ คัพ"
.
ก็แน่นอนว่าพอมาอีหรอบนี้สื่อในอังกฤษทั้งหลายที่ขึ้นชื่อเรื่องความโอเวอร์อยู่แล้วก็พร้อมใจกันที่จะประโคมความยิ่งใหญ่ของชาติบ้านเกิด และ ปลุกพลังแห่งความเชื่อขึ้น บนท้องถนนมีป้ายปลุกเร้ากองเชียร์ไม่เว้นแม้แต่บนหน้านสพ.ที่ประโคมข่าวทุกวี่ทุกวัน
กระทั่งกาลเวลาเดินทางมาถึง 30 กรกฏาคม วันที่ว่ากันว่าทั่วท้องสนาม เวมบลีย์ "ลุกเป็นไฟ"
หลังสร้างเรื่องช็อกฝ่าด่านทั้งฝรั่งเศส, อาร์เจนติน่า และ โปรตุเกส มาได้ในตอนนี้เหลืออีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นครับที่ฝันของแฟนผู้ดีจะกลายเป็นจริง แต่ขึ้นชื่อว่าปราการด่านสุดท้ายย่อมไม่มีคำว่าง่าย
ดวงดันสมพงษ์ให้ อังกฤษ มีคิวบู๊กับ เยอรมันตะวันตกในนัดชิงพอดี
อดีตอันร้าวฉานก่อให้สนามลุกเป็นไฟ สงครามโลกที่เพิ่งจบลงไม่นานทำให้ความเร่าร้อนคู่นี้ช่างร้อนระอุ ฉับพลันที่เกมเริ่มต้นขึ้นทั้งสองใส่กันไฟแล่บชนิดไม่มีใครยอมใคร กระทั่งสถานการณ์ล่วงเลยมาถึงช่วงท้ายเกมแล้ว โวล์ฟกัง เวเบอร์ ก็มาซัลโวประตูไล่เจ๊าในนาทีสุดท้ายของเกมช่วยให้ สกอร์จบลงที่ 2-2
นั่นทำให้ทุกอย่างต้องไปวัดที่ "ช่วงต่อเวลา"
ทุกสถานการณ์ล้วนมีฮีโร่ และกับศึกครานี้พระเจ้าก็กำหนดให้ชื่อของ "เจฟฟ์ เฮิร์สท์" กลายเป็นตำนานที่ถูกจารึกว่าเป็นผู้พา อังกฤษ คว้าชัย ช่างน่าเศร้าครับที่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่เพราะวีรกรรมของ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานโดยไม่รู้จบ ถึงจะถูกบันทึกว่าเป็นนักบอลคนเดียวจนถึงตอนนี้ที่ซัดแฮตทริกในนัดชิงชนะเลิศได้
แต่หนึ่งในประตูที่ทำได้ จังหวะซัดให้ทีมช่วงต่อเวลาพิเศษ 3-2 (เกมจบ 4-2 และแน่นอน เจฟฟ์ เฮิร์สท์ คือผู้ซัดปิดท้าย) นำพาซึ่งปัญหาที่ถึงตอนนี้ก็ไร้ซึ่งคำตอบและยังค้างคา
หลัง อลัน บอลล์ เปิดมาให้ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ก็จัดการเกี่ยวบอลลงหนึ่งทีก่อนเอี้ยวตัวยิงเข้าไป แต่นั่นไม่ใช่การซัลโวที่เข้าไปแบบธรรมดาๆหากแต่บอลเจ้ากรรมดันเด้งไปตรงเส้นแล้วปลิ้นออกมา
ในยุคที่ไร้โกลไลน์...ช่างเป็นการยากที่จะตัดสิน ฝั่ง อังกฤษ วิ่งเฮเนื่องจากเชื่อว่าบอลคาบเส้นแล้วแต่ทว่าทางเยอรมันค้านหลังชนฝา พวกเขาพยายามแย้งกระทั่งสุดท้ายผู้ตัดสิน ก็อตต์ฟรีด เดนส์ท ตัดสินใจให้เป็นประตูหลังไปปรึกษากับไลน์แมน
และนั่นอังกฤษสร้างประวัติศาสตร์และตำนานแชมป์โลกสมัยแรกและครั้งเดียวไป
ภาพกราฟฟิกเมื่อปีที่แล้วจากสกายสปอร์ตที่บอกว่า 'ข้ามเส้น'ไปแล้ว
หลังเกมนัดนี้แฟนบอลทั้งสองด่าทอไป-มาดุเดือดไปพักใหญ่ สาวกอังกฤษในสนามตะโกนกึกก้องทั่ว เวมบลีย์ ว่า "สงครามโลกครั้งที่2และอีกหนึ่งแชมป์โลก" ไม่เว้นกระทั่งสงครามสื่อ นสพ. Kicker แห่งเยอรมันโจมตี โทฟิก บาห์รามอฟ ไลน์แมนในวันนั้นว่ารับงานส่วน Daily Mirror แท็บลอยด์ชื่อดังของอังกฤษก็แสบใช่ย่อยสวน Kicker กลับไปว่า "แพ้ก็คือแพ้ ต่อให้ตัดลูกนั้นไปชาติของข้าก็เอาชนะได้อยู่ดี!"
ในเวลาต่อมา เซอร์ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ได้ยืนยันว่าประตูของตนนั้นเข้าไปแล้วอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับ Skysports ที่พยายามทำภาพจำลองและใช้เทคโนโลยียืนยันเมื่อปีที่แล้วในวันครบรอบ 50 ปีเหตุวิปโยคว่ามันเข้าไปแล้วจริงๆ แต่พูดไปก็สองไพเบี้ยครับ ...
ทุกวันนี้เรื่องราวยังคงคาราคาซังไม่ต่างกับคำถามทีไร้ซึ่งคำตอบ ด้าน อูเว่ ซีเลอร์ กัปตันทีมเยอรมันในวันนั้นก็เผยความลับว่าสงสัย เจฟฟ์ เฮิร์สท์ เองคงสับสนเพราะกระทั่งเจ้าตัวก็ได้บอกกับตนว่ามันยังไม่ข้ามเส้นในเวลาต่อมา
"ผมอยู่ด้านตรงหน้าเหตุการณ์ในวันนั้นและเห็นว่าบอลนั้นยังไม่ข้ามเส้นชัดเจน ไม่มีใครในทีมเราเข้าใจเลยว่าผู้ตัดสินให้มันเป็นประตูได้ยังไง"
"ทุกวันนี้เมื่อผมเจอกับ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ เรายังมักหัวเราะกันอยู่เลยถึงเหตุการณ์ดังกล่าว เอาตามตรงนะ พวกเขาก็รู้ดีแก่ใจและบอกเองเลยว่ามันไม่เข้าไป เพราะ พวกเขาก็เห็นตำตา"
ผลสกอร์เกมนี้อาจจบลงที่ 4-2 และพาอังกฤษกลายเป็นแชมป์โลก แต่สิ่งที่ตามมานำพาให้แมตช์นี้เข้าขั้นตำนาน ในเกมที่มีผู้ชมทางโทรทัศน์พร้อมกันกว่า 32 ล้านนี่คือสถิติจำนวนผู้ชมที่มากที่สุดในเกาะอังกฤษ
แต่สิ่งที่ผู้คนพูดถึงกลับไม่ใช่การซิวถ้วยเวิลด์ คัพ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา, ไม่ใช่สกอร์ 4-2 ที่ดูเหมือนห่างชั้น...
หากแต่เป็น "ประตูผี" ในตำนาน
คืนวันพุธนี้ทั้งคู่จะโคจรมาพบกันอีกครั้ง มันอาจจะเป็นแค่เกมกระชับมิตรที่คนรุ่นใหม่ก็น่าจะลืมไปหมดแล้วแต่เชื่อเถอะครับว่าด้วยประวัติศาสตร์และความเคียดแค้นเก่าๆทั้งสองจะใส่กัน "ลืมตาย" แน่นอน
เพราะศักดิ์ศรีมันค้ำคอ ต่อให้อุ่นแข้งก็ย่อม "ไม่มีใครยอมใคร"!
- มาสเตอร์ ริท -
**************
เขียนเองครับ และก็เช่นเคยถ้าชอบก็ติดตามกันได้ตามเพจด้านล้างเช่นเคยนะครับ
https://www.facebook.com/MasterReed.1992/?fref=nf
คลิปเหตุการณ์วันนั้นที่ทุกท่านต้องตัดสินกันเอง ^^ :