จบเรื่องราวดราม่าฟุตบอลไทยเมื่อ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง จรดปากกาต่อสัญญากับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ออกไปอีก 1 ปี สมใจกองเชียร์กันไป

จากนี้คงต้องมารอดูว่าโฉมหน้าค่าตานักเตะ “ช้างศึก” ที่มีคิวเปิดบ้านรับ “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุดิอาระเบีย และไปเยือน “ซามูไรบูลส์” ญี่ปุ่น ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย กลุ่มบี วันที่ 23 และ 28 มี.ค.นี้จะเป็นอย่างไร

แต่คาดว่าคงมีการเปลี่ยนไม่มากตามสไตล์ทำทีมของ “ซิโก้” อยู่แล้ว เพราะให้สัมภาษณ์กี่ครั้งก็ยืนยันทุกทีว่ายึดตัวหลักๆชุดเดิมเอาไว้ก่อน ตรงนี้ไม่ถือว่าน่าแปลกใจอะไรแม้แต่น้อย

ผู้เล่นหน้าเดิมๆไม่ใช่เรื่องแปลกครับเพราะไม่ว่าทีมชาติไหนๆทุกทีมต้องมี “ตัวหลัก” หรือกำลังสำคัญที่เป็นแกนของทีมอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็น “กำลังเสริม” อันนี้น่าสนใจเหมือนกันว่าจะมีเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่ ไม่ใช่มีแต่พวกเดิมๆ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ “วิธีการเล่น” ที่ต้องหลากหลายไม่ใช่มุขเดิมๆ ตรงนี้ “ซิโก้” เคยประสบความสำเร็จมาแล้วจากฟุตบอลโลกเกมล่าสุดที่เสมอ “ออสซี” ออสเตรเลีย แบบน่าชนะ 2-2 หลังจากปรับกลยุทธ์ใหม่ให้ “ช้างศึก” แบบใครๆก็คาดไม่ถึง

เกม 2 นัดที่รออยู่ข้างหน้าแฟนบอลไทยทุกคนคาดหวังว่าทีมชาติไทยจะมี “ทีเด็ด” ให้ได้เห็นแบบนั้นอีก และถือเป็นเกมสำคัญที่ “ซิโก้” ต้องทำผลงานให้ดีที่สุด เพราะทุกก้าวนับจากนี้ไปคือสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าควร “ไปต่อ” หรือหยุดเท่านี้

“ซิโก้” พิสูจนส์ตัวเองในการคุมทีมระดับอาเซียนไปเรียบร้อยแล้วครับ แต่กับระดับเอเชียยังเป็นคำถามที่รอคอยคำตอบ จาก 5 นัดแรกนักเตะ “ช้างศึก” มี 1 แต้มจากการแพ้ 4 เสมอ 1 ถือว่ายังไม่ผ่าน แต่ยังมีอีก 5 นัดที่เหลือให้แก้ตัว

ย้ำทุกครั้งว่าไม่ได้คาดหวังถึงขั้นฟุตบอลไทยจะไปฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียเลย หรือหวังว่า “ช้างศึก” จะเอาชนะทีมระดับขาประจำฟุตบอลโลกอย่าง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ตั้งแต่ตอนนี้ แต่ที่อยากเห็นคือ “ทรง” หรือทิศทางว่าจะมีแววขนาดไหน

ไม่ใช่แค่ดูที่ผลการแข่งขันแต่ดูตั้งแต่การทำงาน การเตรียมทีม ซึ่งตรงนี้ “ซิโก้” เริ่มถูกจับตามองมาตลอดนับตั้งแต่ต้องยกระดับเกมจากอาเซียนมาสู่เอเชีย เนื่องจากศักยภาพและมาตรฐานต่างกันแบบชัดเจน

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนคอยจับตามองการทำงานของ “ซิโก้” เพราะความคาดหวังของแฟนบอลไทยมีมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ากี่ปีๆก็หลงไหลได้ปลื้มแค่ความสำเร็จระดับอาเซียน

ก้าวต่อไปของ “ซิโก้” นับจากนี้จึงเต็มไปด้วยความกดดันที่อาจจะเรียกว่า “พลาดไม่ได้” เลยด้วยซ้ำ สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ทำตัวเอง” จากที่เคยได้รับการ “อวย” แบบไม่ลืมหูลืมตา ตอนนี้กลายเป็นทำอะไรก็อาจไม่ถูกใจ

การออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดหลังเซ็นสัญญากับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯทำให้ “ซิโก้” เรตติ้งตกไปเยอะไม่น้อย บางทีฟังไม่ขึ้นและไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าพูดแบบนั้น หลายๆคนจึงมองว่าเป็นการ “แถ” !!!

ถ้า “ซิโก้” คิดแบบนั้นจริงๆจะเป็นสไตล์การทำทีมที่แหวกแนวที่สุดในโลก เอาแค่ว่าเฮดโค้ชทีมชาติไม่เข้าสนามฟุตบอลเพราะเกรงว่าจะถูกแฟนบอลรุมเซลฟีเลยไม่มีเวลาดูบอลนี่ก็ฮาน้ำตาเล็ดแล้ว

การดูทางทีวีดูได้ทุกคู่นั่นมันก็จริง แต่คงดูไม่ละเอียดเท่ากับดูที่สนาม ไม่งั้นคงไม่เห็นภาพกุนซือทั่วโลกโผล่เข้าไปนั่งชมเกมในสนาม บางคนมีข่าวด้วยซ้ำว่าต้องการไปดูฟอร์มของนักเตะคนไหนที่จะเรียกมาติดทีมชาติ

แต่กับทีมชาติไทยนี่น่าสงสัย หลายวันก่อนเห็นข่าวมีชื่อนักเตะที่อยู่ในโผแล้วงง บางคนเป็นแค่ตัวสำรองหรือแทบจะไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลยแต่กลับบอกว่า “ปิ๊งฟอร์ม” เลยชวนให้สงสัยไปดูฟอร์มจากไหนมา !!!

สมัยคุมทีมเตะระดับอาเซียนไม่ต้องเข้าไปดูฟอร์มใครแต่เรียกหน้าเดิมๆกลับมาติดทีมชาติไทยคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เพราะ “ช้างศึก” ขี่ชาวบ้านในย่านนี้อยู่แล้ว เตะกี่ทีโอกาสแพ้ก็มีน้อย แต่กับเอเชียจะทำอย่างนี้ไม่ได้

ไม่ได้หมายความว่าเข้าไปดูในสนามแล้วเรียกนักเตะใหม่ๆมาบ้างแล้วจะยกระดับไปเอเชียทันที แต่มันหมายถึงความ “ใส่ใจ” ในบทบาทและหน้าที่ของการเป็น “เฮดโค้ช” ที่ทำให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า “ทำการบ้าน” อยู่ตลอด

ส่วนเรื่องรับอีเวนท์ พรีเซนเตอร์ หรืออะไรต่างๆนาๆถือเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ตรงนี้หากไปจ้องจะด่าหรือว่า “ซิโก้” ก็ถือว่าไม่ยุติธรรม นอกเสียจากจะรับงานจนไม่มีเวลาเข้าสนามฟุตบอลอย่างที่หลายสงสัยกันจริงๆ

กรณีที่นินทากันว่าไปรับงานตัวเองแล้วเอาทีมชาติไทยไปเอี่ยวนี่คงไม่งาม อย่างพาทีมชาติไทยไปออกงานแต่แจกสินค้าที่เกี่ยวกับตัวเองแทนที่จะเป็นสินค้าผู้สนับสนุน สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ อันนั้นถือว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน

เอาเป็นว่าทุกก้าวนับจากนี้ “ซิโก้” ต้องถูกจับตามองแน่นอน และ 5 นัดที่เหลือใน ฟุตบอลโลก 2018 คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าสมควรจะไปต่อหรือหยุดไว้เท่านี้……พี่น้องชาวไทยรอลุ้นกันต่อไป

“บับเบิ้ล”

ซิโก้จะเป็นทั้งคนพาทีมไทยบินสูงจากระบบติ๊กต่อก

และก็พาดิ่งเหวจากระบบลูกรัก

ขอถามคนที่รู้จริงๆ นะครับ ไอ้คำว่าไม่เข้าระบบเนี่ย มันระบบอะไรเหรอครับ มันยากสำหรับนักเตะใหม่ขนาดนั้นเลย อันนี้สงสัยจริงๆ

พี่บับเบิ้ลเขียนได้ถูกใจครับ ไอ่เรี่องซุปไก่มันจะไม่เป็นปัญหาหรอกถ้าพี่ทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าพี่ทำเต็มที่แล้ว ส่วนไอ่ไม่เข้าระบบ แล้วไม่เรียกก็เพราะแฟนบอลมันสงสัยไงว่าขนาดอุ่นเครื่อง บอลไม่มีผลหรืออื่นๆพี่แกจัดชุดพวกเดียวตลอด ยังไม่นับการแหวกแนวเรียกอ้วนบีจีที่เรียกมาติดทีมได้ยังไงจนถ้าผมเป็นเจ้าตัวคง งง ตัวเองสำรองในสโมสรแท้ๆยังติดทีมชาติ

อันนี้แหละที่ติ่งพี่โก้ไม่ยอมเข้าใจซักที

จะดื่มซุปไก่ จะไปปั่นจักรยานสปอนเซอร์ จะใช้เน็ตทรู จะไปขับซูซูกิ หรือจะโผล่หน้าไปแถวคิงพาวเวอร์ไปเลสเตอร์ ออกอีเว้นท์ถ่ายแบบ

เอาตามที่ใจอยาก ถ้าทำงานหลักในฐานะ "โค้ชทีมชาติไทยชุดใหญ่" ได้เต็มที่

เหมือนที่บับเบิ้ลเขียน หลายๆอย่าง "แถ" จนสีข้างถลอก ไม่เข้าสนามบอลเพราะกลัวโดนเซลฟี่......ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงแนะนำ ลาออกกลับไปเลี่้ยงลูกอยู่บ้านเถอะครับ ถ้าเป็นคนสาธารณะแล้วกลับฝูงชนก็แนะนำเลิกไปใช้ชีวิตสงบๆที่บ้านนอกดีกว่า

แต่ถ้าคิดเดินทางสายนี้ ใจที่ให้กับงานต้องมาก่อน แล้วเงินมันจะตามมาเองขอแค่ตั้งใจทำงานหลัก

มันก็แค่ข้ออ้างแหละ ถ้ามันมีสิ่งที่เรียกว่า "ระบบ" มันจะไม่มีปัญหาในการเลือกตัวผู้เล่นเลย

แต่ทีมที่ "ไร้ระบบ" ไอ้นี่แหละเลือกผู้เล่นเป็นเรื่องสำคัญ

ยกตัวอย่าง สวอนซี จะซื้อใครมา จะดันเยาวชน พอมาเล่นมันก็จ่ายบอลวิ่งหาพื้นที่สไตล์เดียวกันหมดไม่มีแตกต่าง

จริงๆซิโก้ก็แค่ "แถ" เพราะถ้าจะให้พูดจริงๆระบบไม่ใช่ปัญหา หากจะมีปัญหาในการใส่คนหน้าใหม่ลงไปก็คงเป็นแค่ความสัมพันธ์กันในสนามที่จะลดลง เช่น...คนใหม่ย่อมไม่รู้ว่าเพื่อนบางคนอาจชอบบอลที่ส่งมากับตัว บางคนต้องส่งเพื่อพื้นที่ให้วิ่งสักหน่อย บางคนโดนประกบติดแต่ก็ยังแก้ปัญหาได้ ในขณะที่บางคนแค่เห็นเงาคู่แข่งก็จะรีบส่งบอลคืนทันที ของแบบนี้มันเรือ่งของความสัมพันธ์ในทีม

แล้วแต่โก้...เชียร์ต่อไป

ติดตามดูฟอร์มกันต่อไป ผมล่ะขำกับฉายาที่อวยกันให้จรืงๆ "บาซ่าแห่งอาเซียน"

เบื่อพี่มากบอกเลย

พัฒนาให้ต่อเนื่องหน่อย