บทความนี้ผมแปลมาจาก The Players' Tribune ซึ่งเป็นเวบที่นำนักกีฬาดังๆมาเขียนเรื่องราวของตัวเอง ด้วยตัวเอง โดยไม่มีการให้นักเขียนมาเขียนให้
MK ได้เขียนเรื่องราวนี้ไว้เมื่อ 28 พ.ย. 2016 ผมอ่านแล้วรู้สึกกินใจมากสำหรับการเดินทางของเด็กจากประเทศอาร์เมเนียที่ไม่สงบจนกลายมาเป็นดาวเด่นแห่งสโมสรชั้นนำอย่างแมนยูได้ เรื่องราวของเค้าใครได้อ่านแล้วคงจะรู้เหตุผลว่าทำไม MK คนนี้ดูหน้าตาจริงจังปนเศร้านิดๆอยู่เสมอๆ
วันนี้ผมว่างพอดีเลยแปลมาให้อ่านกันครับ
ส่วนใครจะเอาไปแปะที่ไหนก็ขอให้ลิ้งมาที่ SS มู้นี้หน่อยละกันครับ
------------------------------------------------------------------
หนึ่งในความทรงจำแรกๆของผมคือการขอร้องคุณพ่อของผมที่มีชื่อว่าแฮมเล็ท ให้พาผมไปซ้อมกับเค้าที่สโมสรฟุตบอลของเค้าในฝรั่งเศส ตอนนั้นผมอายุสัก 5 ขวบได้ ในช่วงยุค 80s ก่อนผมเกิด คุณพ่อของผมลงเล่นให้กับทีมในลีกสูงสุดของสหภาพโซเวียต ("Soviet Top League")ในบ้านเกิดของเราที่อาร์เมเนีย เค้าตัวเล็กแต่ว่าเป็นศูนย์หน้าที่ไวมาก นิตยสาร "Soviet Soldier" ถึงกับให้รางวัล "Knight of Attack" แก่เค้าในปี 1984
ในปี 1989 เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นทารก เราต้องย้ายไปประเทศฝรั่งเศสเนื่องจากมีปัญหาภายในก่อตัวขึ้นในอาร์เมเนีย คุณพ่อของผมเล่นให้กับสโมสรวาล็องซ์ในดิวิชั่น 2 ของฝรั่งเศส ผมมักจะร้องไห้อยู่เสมอเวลาที่เค้าจะออกไปซ้อมกับทีม ทุกๆเช้าผมจะงอแงและพูดว่า "พ่อ พาผมไปด้วยเถอะ ขอร้องล่ะ พาผมไปด้วย!!!"
ด้วยวัยของผม ณ ตอนนั้น ผมยังไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลหรอก ผมก็แค่อยากจะอยู่กับพ่อ แค่เค้าไม่อยากที่จะเสียสมาธิระหว่างการฝึกซ้อมเพราะคอยเป็นห่วงว่าผมจะวิ่งเล่นไปไหนต่อไหน เค้าเลยคิดกุศโลบายขึ้นมาหลอกผม
เช้าวันหนึ่ง ผมบอกพ่อ "พ่อๆ พาผมไปซ้อมด้วย"
เค้าตอบกลับมาว่า "ไม่ ไม่ วันนี้ไม่มีซ้อมนะเฮนริค พ่อกำลังจะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างหาก เดี๋ยวพ่อก็กลับ"
แล้วเค้าก็หนีไปซ้อม ส่วนผมก็รอ รอ แล้วก็รอ
หลังจากนั้นหลายชั่วโมงเค้าก็กลับมา โดยไม่มีถุงช็อปอะไรเลย
ผมโมโหมาก แล้วก็เริ่มร้องไห้
"พ่อหลอกผม! พ่อไม่ได้ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่พ่อไปเล่นฟุตบอล!!"
ช่วงเวลาของผมกับคุณพ่อมันมีความหมายมากแต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก เมื่อผมอายุได้ 6 ขวบ พ่อแม่บอกกับผมว่าพวกเราจะย้ายกลับไปบ้านเกิดที่อาร์เมเนีย ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น คุณพ่อเลิกเล่นฟุตบอลแล้วมาอยู่ที่บ้านตลอดเวลา
ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องเลยว่าคุณพ่อเป็นเนื้องอกในสมอง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ในปีนั้นเองเค้าก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะว่าผมยังเด็กมาก ตอนนั้นผมจึงยังไม่ค่อยเข้าใจถึงความหมายของการตายสักเท่าไหร่
ผมจำได้ว่าผมมักจะเห็นคุณแม่และพี่สาวร้องไห้อยู่เป็นประจำ และผมมักจะถามพวกเค้าว่า "คุณพ่อไปไหน?" ไม่มีใครอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น
วันเวลาผ่านไป พวกเค้าก็เริ่มบอกผมถึงความจริงที่เป็นอยู่
คุณแม่บอกกับผมว่า "เฮนริค พ่อของลูกจะไม่มีวันมาอยู่กับเราแล้วนะ"
ในตอนนั้นผมคิด ไม่มีวัน? คำว่าไม่มีวันคำนี้ มันเป็นระยะเวลาที่นานมากสำหรับเด็ก 7 ขวบ
ครอบครัวเรามีวิดิโอเทปของช่วงเวลาที่คุณพ่อเล่นฟุตบอลอยู่ในฝรั่งเศสและผมจะเปิดดูบ่อยๆเพื่อที่จะจดจำเค้า การเปิดเทปดูคุณพ่อเล่นฟุตบอลสองสามครั้งต่อสัปดาห์มันทำให้ผมมีความสุขอย่างมากโดยเฉพาะเวลาที่กล้องจับภาพไปที่เค้าเวลาเค้าทำประตูได้แล้ววิ่งไปดีใจหรือกอดกับเพื่อนร่วมทีม
ในวิดิโอเทปเหล่านี้ คุณพ่อยังคงมีชีวิตอยู่
หนึ่งปีหลังจากคุณพ่อผมเสีย ผมเริ่มฝึกฟุตบอล เค้าเป็นแรงผลักดันสำหรับผม เค้าเป็นไอดอลของผม ผมมักพูดกับตัวเองว่า ผมจะต้องวิ่งให้ได้แบบเค้า ผมจะต้องยิงให้ได้แบบเค้า
เวลาผ่านไปจนผมอายุได้ 10 ปี ชีวิตทั้งหมดของผมคือฟุตบอล ทั้งฝึกซ้อม ทั้งอ่าน ทั้งดู แม้กระทั้งเล่นฟุตบอลบนเครื่องเพลย์สเตชั่น ผมมีมุ่งมั่นและโฟกัสกับมันเต็มที่ ผมชอบผู้เล่นที่สร้างสรรค์เกมเป็นอย่างมาก หรือที่เรียกว่า เดอะมาเอสโตร (the maestros) ผมอยากเล่นให้ได้แบบซีดาน กาก้า และแฮมเล็ท
มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เนื่องจากคุณแม่ของผมต้องทำหน้าที่เป็นทั้งแม่และพ่อของผมในคราวเดียวกัน มันยากมากสำหรับคุณแม่ที่จะทำสิ่งนี้ในสังคม เธอยืนหยัดเข้าข้างผม ในขณะเดียวกันบางครั้งเธอก็ต้องใช้ไม้แข็งกับผมเหมือนกับที่คนเป็นพ่อจะทำ มีหลายครั้งที่ผมกลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้วบอกแม่ว่า "อา...มันช่างยากเหลือเกิน ผมอยากจะเลิก"
คุณแม่ก็จะบอกว่า "ลูกต้องไม่เลิกล้มความตั้งใจ ลูกต้องตั้งใจฝึกฝนไปเรื่อยๆ แล้วพรุ่งนี้มันจะดีกว่านี้"
หลังจากการตายของคุณพ่อ คุณแม่ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของเรา เธอจึงเริ่มทำงานในสหพันธ์ฟุตบอลอาร์เมเนีย
การที่เธอได้ทำงานนี้ทำให้บางครั้งมีเรื่องขบขันอยู่เหมือนกัน เมื่อผมเริ่มลงเล่นในทีมชาติชุดเยาวชนของอาร์เมเนีย ถ้าผมเกิดโวยวายหรือของขึ้นในสนาม คุณแม่ผมก็จะมาหาผมหลังเกมแล้วดุผมว่า "เฮนริค! ลูกทำอะไรน่ะ? ลูกควรจะทำตัวให้ดีไม่งั้นแม่จะมีปัญหากับที่ทำงานได้นะ!"
ผมเลยเถียงว่า "แต่แม่ พวกเค้าเตะผมนะ! พวกเค้า...."
"ไม่ต้องเลยๆ ลูกควรจะต้องทำตัวให้สุภาพอยู่ตลอดเวลา"
ถึงแม้ว่ามันจะลำบากสำหรับครอบครัวเราหลังจากที่ไม่มีคุณพ่อแล้ว คุณแม่และพี่สาวของผมก็ยังคงผลักดันผมให้ไปข้างหน้าอยู่ตลอด ถึงกระทั่งอนุญาตให้ผมไปบราซิลคนเดียวตอนอายุได้ 13 ปีเพื่อไปฝึกซ้อมกับเซา เปาโลเป็นเวลา 4 เดือน ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาในชีวิตของผมที่น่าสนใจที่สุด เพราะว่าผมเป็นเด็กขี้อายจากอาร์เมเนียผู้ซึ่งพูดภาษาโปรตุกีสไม่ได้สักคำ แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะผมกำลังจะได้ไปที่สวรรค์ของฟุตบอล
ผมเคยฝันที่จะเป็นแบบกาก้า และบราซิลก็เป็นบ้านเกิดของฟุตบอลสร้างสรรค์สไตล์นั้น โดยในบราซิลเรียกมันว่า "กิงก้า" (Ginga) จริงๆแล้วผมเรียนภาษาโปรตุกีสอยู่ 2 เดือนก่อนจะไป แต่เมื่อผมเดินทางมาถึงเซาเปาโล ผมจึงรู้ทันทีว่าการเรียนก็ส่วนเรียน แต่มันคนละเรื่องเลยกับการพูดกับผู้คนจริงๆ
ผมเริ่มรู้จักกับเพื่อนนักเตะชาวอาร์เมเนียนอีก 2 คน เมื่อเราถึงห้องพักจึงได้รู้ว่าเรามีนักเตะบราซิลเลี่ยนอีกคนเป็นรูมเมท เค้าค่อนข้างผอมบางเหมือนผมและมีผมสีเข้ม
เค้าทักทายพวกเราว่า "Bom dia! Meu nome é Hernanes.”
เวลานั้นเด็กคนนี้เป็นเพียงคนแปลกหน้า แต่ตอนนี้เค้าเป็น "the Hernanes" คนเดียวกับที่เล่นอยู่ยูเวนตุสในตอนนี้ (แต่ขณะนี้ Hernanes ย้ายไปลีกจีนแล้ว:ผู้แปล)
พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในสนามซ้อม กินที่นั่น ซ้อมที่นั่น และสนุกกันที่นั่น พวกเราไม่มีเครื่องเพลย์สเตชั่น มีแต่ทีวี และทุกอย่างเป็นภาษาโปรตุกีสทั้งหมด เพราะฉะนั้นในสัปดาห์แรกๆมันจึงยากลำบากมากเนื่องจากผมไม่สามารถสื่อสารกับนักเตะบราซิลเลี่ยนได้เลย พวกเค้าแค่พูดอะไรบางอย่าง ยิ้มให้ผม แล้วก็ตบหลังผมเบาๆ คนบราซิลเลี่ยนมีนิสัยที่น่าอัศจรรย์ คุณไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ คุณต้องรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเวลาคุณอยู่ใกล้ๆพวกเค้าก่อนถึงจะเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ยังดีที่ทุกคนพูดเป็นภาษาสากลคือภาษาฟุตบอล พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันโดยสื่อสารกันจากการสร้างสรรค์เกมกันในสนาม ผมยังจำได้ว่าผมทำประตูได้ตอนซ้อม ตอนนั้นผมคิดอยู่ในใจ "ว้าว เราเป็นเด็กอาร์เมเนียนที่ทำประตูได้ในบราซิลเชียวนะ" มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นดาวดังอย่างไงอย่างงั้น
ผมมีความสนใจในด้านวัฒนธรรมการฝึกซ้อมมาก มันแตกต่างกันสุดๆ อย่างเช่น เราจะต้องซ้อม 45 นาที แล้วพัก 15 นาที แล้วก็กินผลไม้ ดื่มน้ำผลไม้ แล้วออกไปซ้อมต่ออีก 45 นาที พวกเค้าซ้อมกันเหมือนการแข่งจริงตลอดเวลา ในอาร์เมเนียเราจะฝึกซ้อมทางด้านร่างกายมากกว่าด้านเทคนิค ส่วนในบราซิลจะเน้นด้านเทคนิคมาก ทุกอย่างจะมีลูกบอลอยู่ในการซ้อม
ในความเป็นจริง ถ้าเด็กคนไหนไม่มีลูกฟุตบอล พวกเค้าจะเล่นกับถุงเท้าที่ม้วนรวมกันจนกลายเป็นลูกบอล ทุกๆอย่างที่นี่จะเกี่ยวกับลูกบอล
มีเรื่องตลกอย่างนึงคือ เนื่องจากคุณแม่ผมโทรมาหาผมบ่อยมาก เรียกได้ว่าแทบจะทุกวัน และผมก็จะบอกกับเธอว่าถ้าจะโทรมาให้บอกผมล่วงหน้าก่อน เพราะโทรศัพท์ที่ใช้โทรไปต่างประเทศได้มีอยู่ในห้องของผู้อำนวยการเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกๆเช้าผู้ช่วยจึงต้องวิ่งมาหาผมที่สนามซ้อมและตะโกนว่า "เฮ้! แม่นายโทรมาหาน่ะ"
ทำให้ผมต้องวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อบอกเธอว่าให้โทรมาทีหลัง
"เด็กน้อยของแม่เป็นยังไงบ้าง? อาหารเป็นยังไง? กินได้มั้ย?"
"แม่ ผมต้องซ้อมนะ! โทรมาตอนวันอาทิตย์เถอะ!"
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ผมสามารถพูดภาษาโปรตุกีสขั้นพื้นฐานได้ค่อนข้างดี และผมก็สอนภาษาอาร์เมเนียนให้กับเฮอนานเนสไปพลาง พอไม่มีเครื่องเพลย์สเตชั่นมันก็ไม่ค่อยมีอะไรอย่างอื่นให้ทำ
ช่วงเวลานั้นมันสำคัญต่อผมมากเพราะมันเป็นช่วงที่สร้างสไตล์การเล่นฟุตบอลของผมเลย เมื่อผมกลับมาอาร์เมเนียหลังจาก 4 เดือนในบราซิล ผมก็ยังผอมบางและอ่อนแออยู่ แต่ผมได้เทคนิคและทักษะกับบอลเพิ่มขึ้นมา ผมรู้สึกเป็นอิสระมากในสนาม รู้สึกอย่างกับเป็นโรนัลดิญโญ่อาเมเนียเลยทีเดียว (ฮ่าๆๆ ผมล้อเล่นน่ะ) มันเป็นเรื่องที่ท้าทายเพราะตอนนั้นผมมีสามภาษาอยู่ในสมองตลอดเวลา คือ อาร์เมเนียน ฝรั่งเศส และโปรตุกีส และมันก็ตีกันเอง บางครั้งผมพูดครึ่งประโยคเป็นอาร์เมเนียน อีกครึ่งเป็นโปรตุกีสก็มี
หลังจากนั้นเมื่อผมอายุได้ 20 ปี ผมย้ายไปสโมสรเมตาลัวห์ โดเน็ตสค์ ในยูเครน ผมจึงได้ภาษายูเครนและรัสเซียเพิ่มไปอีกหน่อย มันเป็นเรื่องที่ตลกมากเพราะว่าสองปีหลังจากนั้นผมย้ายข้ามฟากไปสโมสร ชัคต้าร์ โดเน็ตสค์ หลายๆคนที่นั่นบอกผมว่ามันจะยากมากสำหรับผม และผมจะไม่ประสบความสำเร็จที่นั่น เพราะมีนักเตะบราซิลเลี่ยนอยู่ในทีมถึง 12 คน
ผมไม่ได้ตอบโต้อะไร ผมแค่หัวเราะกับตัวเอง ในความคิดผม ผมคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนลูกครั้งบราซิลเลี่ยนด้วยซ้ำ แน่นอนว่าผมเข้ากับเพื่อนร่วมทีมใหม่ได้เป็นอย่างดี และสามปีที่ชัคต้าร์นั้นมันเยี่ยมมากๆ ผมทำสถิติยิงประตูมากที่สุดในลีกยูเครนเมื่อปี 2013 มันรู้สึกดีที่สามารถปิดปากคนที่บอกว่าผมจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เพราะผมเป็นคนอาร์เมเนียน
โชคชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก หลังจากฤดูกาลนั้น ผมได้รับข้อเสนอย้ายไปโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นเรื่องบังเอิญพอดีที่ขณะนั้นเปิดความขัดแย้งขึ้นในโดเน็ตสค์ จากนั้นไม่นานสนามของชัคต้าร์ก็ถูกปล่อยร้าง
หลังจากผมย้ายมาเยอรมัน ไม่เพียงแค่ต้องเรียนภาษาอีกภาษา แต่วัฒนธรรมและบรรยากาศก็แตกต่างจากที่ผมเคยอยู่เป็นอย่างมาก
มันเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับผม ฤดูกาลแรกมันก็ยังโอเค แต่มาฤดูการที่สองนั้นคือหายนะ ไม่ใช่กับผมคนเดียว แต่กับสโมสนด้วย พวกเราแพ้เยอะมาก และผมรู้สึกว่าผมไม่มีโชคเอาซะเลย ไม่ใช่แค่ผมทำประตูไม่ได้ แต่ผมแอสซิสต์ไม่ได้อีกต่างหาก ซึ่งนี่มันไม่ใช่ผมเลย ผมเซ็นต์สัญญามาด้วยค่าตัวจำนวนมาก และผมก็แบกความกดดันไว้กับตัวมากเช่นกัน
ผมมีค่ำคืนที่แย่ๆในอพาร์ทเมนต์ในดอร์ทมุนด์ อยู่ตัวคนเดียว นั่งคิดแล้วคิดอีก ผมไม่อยากออกไปข้างนอกแม้กระทั่งไปกินข้าว แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่ผมว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ผู้จัดการทีมคนใหม่ โทมัส ทูเคิ่ล เข้ามาคุมดอร์ทมุนด์ก่อนฤดูกาลที่สามของผม และเค้าเป็นคนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างสำหรับผม
เค้าเข้ามาหาผมและพูดว่า "ฟังนะ ชั้นต้องการใช้ความสามารถสิ่งทุกอย่างของนาย"
ผมยิ้มและหัวเราะนิดๆเพราะผมคิดว่าเค้าก็แค่พยายามทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น ผมยังไม่ค่อยเชื่อในคำพูดเค้า
แต่เค้ามองมาที่ผมอย่างจริงจังมากและบอกต่อว่า "มิกกี้ ต่อไปนายจะต้องยอดเยี่ยมแน่ๆ"
สิ่งนี้มันมีความหมายสำหรับผมมาก หลังจากสองฤดูกาลแรกผมไม่คิดว่าผมจะเป็นสตาร์อะไรได้ แต่เค้าทำได้ เค้าดึงตวามสามารถทุกอย่างที่ผมมีออกมาได้ในฤดูกาลนั้น และมันทำให้ผมมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง "เมื่อไหร่ที่คุณเศร้าคุณจะไม่มีทางโชคดี" นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้วัฒนธรรมบราซิล เวลาที่คุณมีความสุข สิ่งดีๆจะเกิดขึ้นในสนาม ในฤดูกาลนั้นเราเล่นได้อย่างมีพลัง บุกอย่างบ้าคลั่ง และเราสนุกกับทุกนาทีในสนาม
เราเล่นกันโดยใช่กองหลังแค่สองคน กองกลางสามคน และกองหน้าห้าคน เราประสบความสำเร็จ ถึงแม้เวลาเราแพ้ แต่เราก็สนุกกับมัน
เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ตัวแทนของผมโทรมาบอกผมว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสนใจที่จะดึงผมไปร่วมทีม มันทำให้ผมเซอไพรซ์มาก
ผมพูดว่า "มันเป็นเรื่องจริงมั้ย? หรือเป็นแค่การคาดเดา"
เมื่อฝันของคุณกำลังใกล้ที่จะเป็นจริง มันจะรู้สึกไม่เหมือนจริงเลยในตอนแรก
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ความสนใจจากแมนเชสต์เตอร์ยูไนเต็ดก็ได้รับการยืนยัน เมื่อผมได้รับโทรศัพท์จาก เอ็ด วู้ดเวิร์ด เค้าบอกผมว่าสโมสรสนใจในตัวผมจริงๆ คุณจินตนาการออกมั้ยว่าผมตื่นเต้นแค่ไหนกับโอกาสนี้!
ในระหว่างที่ตัวแทนของผมกับสโมสรเจรจากันอยู่ ผมมีเวลาที่จะพิจารณาทางเลือกของผม ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องท้าทายที่จะย้ายออกจากสถานการณ์ที่ดีๆที่ดอร์ทมุนด์เพื่อไปประสบความสำเร็จกับยูไนเต็ด แต่ผมไม่อยากที่จะอยู่บนเก้าอี้เวลาแก่ตัวไปแล้วมานึกเสียใจทีหลัง ผมจึงเลือกที่จะย้ายทีม
หลังจากที่เจรจากันจบเรียบร้อย ในขณะที่ผมนั่งลงเพื่อเซ็นต์สัญญากับยูไนเต็ดและนั่นเป็นเวลาที่ผมรู้สึกได้ว่าเป็นการย้ายทีมครั้งใหญ่ไปพรีเมียร์ลีก และมันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ
ผมจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาขณะนั้น และจะไม่ลืมตอนที่ผมสวมชุดสีแดงของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อนที่จะลงซ้อมครั้งแรก มันทำให้ผมรู้สึกดีใจและภูมิใจกับสิ่งมีผมทำมาในชีวิตค้าแข้ง
ในช่วงต้นฤดูกาลกับยูไนเต็ด ผมได้รับการบาดเจ็บและไม่ค่อยมีโอกาสได้ลงสนาม พูดได้ว่าการเริ่มชีวิตในแมนเชสเตอร์นั้นดูจะไม่เพอร์เฟ็คนัก แต่ในชีวิตผมเคยผ่านช่วงเวลาที่แย่ๆมามากมายและผมไม่เคยยอมแพ้ต่อมัน ผมจะทำงานหนักต่อไปเพื่อที่จะช่วยทีมให้ประสบความสำเร็จได้
ถ้าคุณไปถามแม่และพี่สาวของผมเกี่ยวกับตัวผม พวกเค้าคงบอกกับคุณว่าผมนั้นค่อนข้างเป็นคนจริงจัง ผมอาจจะเป็นคนที่จริงจังมากแต่ผมสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมาเลยว่าผมมีความสุขมากกับชีวิตผมในตอนนี้ ผมเคยฝันที่จะเล่นให้กับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่เสมอๆ
เวลาที่คุณเดินลงสนามที่โอลด์แทรฟฟอร์ด มันไม่ใช่แค่สนามฟุตบอล มันคือเวที ถ้าคุณพ่อของผมสามารถเห็นผมบนเวทีนี้ได้เค้าคงจะรู้สึกภูมิใจมาก ผมคิดเสมอว่าผมกำลังตามรอยเค้าอยู่ และถึงแม้เค้าจะไม่อยู่ที่นี่แล้วก็ตาม เค้ายังคงเป็นคนช่วยผมให้มาถึงจุดนี้
ถ้าเค้ายังมีชีวิตอยู่ บางทีตอนนี้ผมอาจจะเป็นทนายหรือหมอ แต่ตอนนี้ผมเป็นนักฟุตบอลแทน
หลังเกมผมไม่เคยดูตัวเองในทีวีเลย ผมเกลียดการดูตัวเองเพราะผมจะเห็นแต่ความผิดพลาดของผมในสนาม สไตล์การเล่นของผมแตกต่างจากคุณพ่อมาก เค้าเป็นกองหน้าที่เร็วและมีลูกยิงที่แรง ส่วนผมเด่นด้านเทคนิคมากกว่า แต่ผู้คนที่บ้านเกิดผมในอาร์เมเนียบอกผมว่าผมวิ่งเหมือนคุณพ่อไม่มีผิด
พวกเค้าพูดว่า "เฮนริค เธอหน้าเหมือนเค้า วิ่งเหมือนเค้า เธอทำให้ชั้นนึกถึงแฮมเล็ทมากเวลาที่ดูเธอเล่น"
ผมไม่รู้หรอกว่าเหมือนจริงมั้ย เพราะผมไม่สามารถทนดูตัวเองเล่นในทีวีได้ แต่มันก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ผมฝันถึงการวิ่งอย่างอิสระในสนามเป็นครั้งแรกหลังดูวิดิโอเทปของคุณพ่อหลังจากที่เค้าจากไป...
เฮนริค มคิตาร์ยาน