การปลดรานิเอรีของเลสเตอร์กับธุรกิจในฟุตบอล
พอดีเห็นกระทู้นี้ในพันทิปน่าสนใจดี เกี่ยวกับเลสเตอร์ เลยอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชาว SS ยาวหน่อยนะครับ
https://m.pantip.com/topic/36146394?
เป็นการพุดคุยในประเด็นเรื่องโค้ชที่นำพาความสำเร็จในยุคที่ฟุตบอลกลายเป็นธุรกิจมากขึ้น ทีมฟุตบอลมันไม่ใช่แค่ทีมกีฬาแล้วในช่วง 2000s มานี้ มันกลายเป็นแบรนด์ เหมือนแบรนด์สินค้าที่ใครก็อยากประสบความสำเร็จทั้งในแง่ถ้วยแชมป์ ฐานแฟนบอล และการทำธุรกิจ
พูดถึงประเด็นเลสเตอร์ซิตี้ตะเพิดรานิเอรี จริงอยู่เลสเตอร์สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษหรือแม้กระทั่งตอนที่รานิเอรีคุมเชลซีเมื่อปี 2003 ก็ได้มากสุดแค่รองแชมป์ แต่รานิเอรีกลับพาทีมตกอยู่ในโซนหนีตกชั้นในตอนนี้ ถึงแม้ว่าทีมยังพอมีโอกาสเอาชนะเซบีญ่าและสร้างประวัติศาสตร์ในถ้วยยุโรปอยู่ก็ตาม ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า บอร์ดบริหารเลสเตอร์ทำถูกแล้วหรือไม่ ที่ไล่ผู้จัดการทีมที่นำพาความสำเร็จมาสู่ทีม แน่นอนว่าแฟนบอลเลสเตอร์ที่อังกฤษต่างพากันไม่เห็นด้วยที่ไล่รานิเอรีออก
แต่พอกลับมาดูความเป็นจริงที่ว่า "ฟุตบอลคือธุรกิจ" ในความคิดผมกลับคิดว่าบอร์ดบริหารของเลสเตอร์ไล่ลุงรานิเอรีช้าไปด้วยซ้ำ ย้อนกลับไปปีที่แล้ว เชลซีเป็นแชมป์เก่าปี 2014 ทำผลงานได้ย่ำแย่มากๆ บอร์ดเชลซีไม่ลังเลที่จะไล่โชเซ่ มูรินโญ่ออก แล้วนำพากุส ฮิดดิงค์เข้ามากู้สถานการณ์ แต่เชลซีเปลี่ยนผู้จัดการทีมในเดือนธันวาคม ถือว่ายังพอมีโอกาสให้ผู้จัดการทีมคนใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีม และมีโอกาสได้เซ็นผู้เล่นเข้ามาเพิ่มในช่วงหน้าหนาวด้วย สุดท้ายเชลซีจบอันดับกลางตาราง กลับมาที่เลสเตอร์ บอร์ดบริหารเลสเตอร์มัวแต่คิดเรื่องรานิเอรีเป็นผู้มีพระคุณต่อทีมจนลืมไปว่าควรมีการเปลี่ยนแปลงตั้งนานแล้ว คราวนี้ผู้จัดการทีมเลสเตอร์คนใหม่ผู้รับเผือร้อนมามีโอกาสกู้สถานการณ์แค่ 13 นัดเท่านั้น และไม่มีโอกาสได้เซ็นนักเตะเพิ่มเลย คล้ายๆกับนิวคาสเซิลฤดูกาลที่แล้วที่กว่าจะเอาราฟาเอล เบนิเตซเข้ามาคุมก็ปาไปเกือบจบฤดูกาลแล้ว ถึงผลงานช่วงที่ราฟาคุมจะดีแค่ไหนก็ไม่ทันอยู่ดี สุดท้ายนิวคาสเซิลตกชั้นไป แน่นอนรานิเอรี KPI ไม่ผ่านก็ต้องไล่ออก
ตั้งแต่ฟุตบอลกลายเป็นธุรกิจมากขึ้น เราอาจจะต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นผู้จัดการทีมอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือ อาร์เซน เวนเกอร์อีกต่อไป อย่างเชลซีที่ประสบความสำเร็จมากในช่วงปี 2000s-2010s เนี่ยก็มีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็นว่าเล่น ฟอร์มก็มีขึ้นบ้างลงบ้างตามแทคติกของฟุตบอลและอุณหภูมิของตารางคะแนน ยอดทีมจากสเปนอย่างเรอัล มาดริดเองก็มีการเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมเยอะพอสมควรจนสุดท้ายมาเจอคนที่ใช่อย่างซีเนอดีน ซีดาน และเชลซีก็มาเจออันโตนิโอ คอนเต้ (#ความรักก็เช่นกัน ก่อนเจอคนที่ใช่ก็ต้องผ่านคนที่ไม่ใช่มาก่อน...จริงมั้ย) ส่วนแมนฯยูไนเต็ด ตั้งแต่เซอร์ฯวางมือ ก็ยังคลำหาฟอร์มเก่าๆไม่เจอ หลังว่ามูรินโญ่จะเป็นคนที่ใช่สักที บอร์ดอาร์เซน่อลเองก็คงหวั่นๆจะเจริญรอยตามแมนฯยูไนเต็ดไปแน่ๆหลังจากเจ๊วางมือ ส่วนหงส์แดงลิเวอร์พูลหวังว่าจะหาแนวทางของตัวเองเจอในเร็ววัน
ตั้งแต่เลสเตอร์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ ถือว่าการสร้างแบรนด์ในเชิงธุรกิจเป็นได้อย่างสวยงาม สามารถดึงดูดฐานแฟนบอลนอกสหราชอาณาจักรได้เยอะพอสมควร มิหนำซ้ำยังสามารถเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายถ้วยใหญ่ของยุโรปได้อีก จนตอนนี้ไม่มีใครคิดแล้วว่า "เลสเตอร์? ทีมไรวะ?" คำถามใหม่จะเกิดขึ้นมาแทน "เลสเตอร์จะสามารถสร้างมาตรฐานของตัวเองได้ดีแค่ไหน และ จะรั้งหรือสร้างฐานแฟนบอลได้ดีหรือไม่" แต่สิ่งที่ต้องทำ ณ ตอนนี้คือทำยังไงก็ให้รอดตกชั้นก่อน! ถ้าตกชั้นไปนี่เสียหายเยอะมาก เนื่องจากเม็ดเงินระหว่างพรีเมียร์ลีกกับแชมป์เปี้ยนชิพนั้นแตกต่างกันมากกกก และคงไม่อยากถูกจารึกไว้ว่าเป็นแชมป์เก่าทีมแรกที่ปีถัดมาตกชั้นในยุคพรีเมียร์ลีกแน่ๆ
ก็แน่นอนล่ะ ฟุตบอลมันคือธุรกิจ!
สุดท้าย ขอบคุณและรักทุกคนที่อ่านถึงตรงนี้ นานๆทีจะเขียนอะไรยาวเหยียด คนอ่านที่เป็นแฟนผีแดงก็ขอให้ได้แชมป์ยูโรป้า แฟนหงส์ก็ขอให้ติดท็อป 4 แฟนปืนก็เช่นกัน แฟนสิงห์ก็ขอสองถ้วยนะพรีเมียร์กับเอฟเอจ้า
นี่เป็นบทความแรกในชีวิตผม หากผิดพลาดประการใดหรือข้อมูลไม่แน่นก็ขออภัยด้วยครับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับผม
ปล. ขออภัยที่แขวะหงส์ในอีดิทก่อนหน้านี้ครับ