ในเกมที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านคัมแบ็คเอาชนะโมนาโกไปแบบสุดมันส์ 5-3 นั้นกลายเป็นสกอร์ที่ยิงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบน็อคเอาท์นัดแรก

ที่สนามเอติฮัด เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ทีมเยือนจากลีกเอิงได้ประตูจากราดาเมล ฟัลเกา(2) และคีลีย็อง เอ็มบัปเป้ บุกนำเจ้าถิ่น"เรือใบสีฟ้า" 3-2 หลังผ่าน 1 ชั่วโมงของเกม

อย่างไรก็ตามในช่วง 20 นาทีสุดท้ายลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มายิง 3 ประตูรวดจากแซร์กิโอ อเกวโร่, จอห์น สโตนส์ และเลรอย ซาเน่ พลิกชนะไปแบบตื่นเต้น

ทำให้เกมนี้มีสกอร์รวมกันถึง 8 ประตูด้วยกัน ซึ่งนับมาเป็นการยิงที่ถล่มทลายที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกมนัดแรก รอบน็อคเอาท์ ของศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก

นอกจากนี้สามประตูของโมนาโกในเกมนี้ยังทำให้พวกเขายิงรวมทุกรายการ ในฤดูกาลนี้เป็น 110 ประตู ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากกว่าทุกทีมใน 5 ลีกหลักของยุโรปอีกด้วย แซงบาร์เซโลน่า(108)

ด้านอเกวโร่ที่ซัดช่วยซิตี้ไป 2 ประตูในเกมนี้ก็กลายคนช่วยให้ซิตี้ยิงครบ 200 ลูกในรายการยุโรป

สถิติอื่นๆที่น่าสนใจหลังเกมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ โมนาโก (21 กุมภาพันธ์ 2560

> เมื่อนำสกอร์ในคู่นี้(5-3) รวมกับสกอร์ของอีกคู่ในวันเดียวกัน(เลเวอร์คูเซ่น 2-4 แอตเลติโก้ มาดริด)จะได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7 ประตู ซึ่งนั่นเป็นค่าเฉลี่ยที่สูงที่สุดต่อ 1 แมทช์เดย์ ในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

> โมนาโกเสีย 5 ประตูในถ้วยใหญ่ของยุโรปเป็นครั้งแรก(ยูโรเปี้ยน คัพ / แชมเปี้ยนส์ ลีก)

> ด้านแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เพิ่งจะยิงได้ 5 ประตูเป็นครั้งที่สองในแชมเปี้ยนส์ ลีก (ครั้งแรก 5-2 กับซีเอสเคเอ มอสโกว์ ปี 2013)

> อเกวโร่ทำประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก 27 ลูกแล้ว ซึ่งถือเป็นดาวซัลโวอันดับที่สามของนักเตะจากอเมริกาใต้(ลิโอเนล เมสซี่ 93, กาก้า 30)

> ฟัลเกาที่ยิงได้ 2 ประตูในเกมนี้นั้น เป็นการยิงที่เท่ากับที่เขาเคยยิงให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด (จากการลงเล่น 15 นัด)

> ช่วงต้นครึ่งหลังฟัลเกามีโอกาสยิงจุดโทษแต่ดันติดเซฟของวิลลี่ กาบาเญโร่ ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นคนเดียวในฤดูกาลนี้ที่พลาดจุดโทษในแชมเปี้ยนส์ ลีกแล้ว 2 ครั้ง

> จากการเซฟจุดโทษดังกล่าวทำให้ซิตี้ไม่โดนยิงจากการเสียจุดโทษ 5 ครั้งหลังในแชมเปี้ยนส์ ลีก!

> ด้วยวัย 18 ปี 2เดือน คีลีย็อง เอ็มบัปเป้ กลายเป็นนักเตะฝรั่งเศสอายุน้อยที่สุดที่ยิงในแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ ต่อจากคาริม เบนเซม่า(17 ปี 11 เดือน)

> ราฮีม สเตอร์ลิง ยิงประตูตีไข่ให้เจ้าถิ่นในเกมนี้ ซึ่งเมื่อรวมกับอีก 1 แอสซิสต์ ทำให้เขามีส่วนร่วมกับประตูของซิตี้ 10 ครั้ง(ยิง 5 จ่าย 5) ตลอดการลงเล่นเป็นตัวจริง 10 นัดหลังในรายการนี้

> ฟัลเกายิงได้ 15 ประตูจาก 15 นัดหลังที่ลงเล่นให้กับโมนาโกทุกรายการ

> ฟัลเกาที่ยิงได้ 2 ประตูในเกมนี้นั้น เป็นการยิงที่้ท่ากับที่เขาเคยยิงให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด (จากการลงเล่น 15 นัด)

เสียจุดโทษ5ครั้งหลังไม่เสียสักประตู

ยอดเยี่ยมกระเจียวเทียม

ยิงกันมันเบย

ถ้าสกอร์นี้บ้านโมนาโกก็ดี นี้เสีย 3 ลูกในบ้านหวั่นๆอยู่

> อเกวโร่ทำประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก 27 ลูกแล้ว ซึ่งถือเป็นดาวซัลโวอันดับที่สามของนักเตะจากอเมริกาใต้(ลิโอเนล เมสซี่ 93, กาก้า 30


สมเป็นต่างดาว ตัวเลขดุจดั่งพิมพ์ผิด

คีลีย็อง เอ็มบัปเป้

คือจนถึงตอนโมนาโคได้จุดโทษนี่คิดว่านำแล้วจบแน่
ปรากฏว่าไม่เข้า แต่ก็มานำได้อีก เล่นไปเล่นมา ช็อตไปดื้อๆ ซิตี้กลับมีฮึดมา
อาจเพราะโมนาโคไล่เพรสสูงจนหมด แล้วมาได้จากเตะมุมสองลูกอีก
จังหวะกุนหลุดไปก็โกล์ที่พลาดด้วยส่วนหนึ่ง

แต่เอาจริงๆ ถ้าซิติ้ครองเกมส์รัดกุมค่อยๆ บี้ ไป ไม่น่าจะโดนสามลูกแบบนี้ แต่ละลูกคือสวนตูม ไม่ก็พลาดโดนตัดบอลล้วนๆ

ยิงกันอุตะลุดมากเมือคืน