#### ได้รู้ความจริง ได้ยิ่งกว่าฟุตบอล อ่าน soccersuck.com####

ผู้ตั้ง

ข้อความ

หนูนหนูนหนูนหนูนหนูน

เข้าร่วม: 05 Dec 2016

ตอบ: 1587

ที่อยู่:

โพสเมื่อ: Mon Feb 20, 2017 11:08 pm

จงมีความสุข

การช่วยให้เด็กมี self esteem ดี หรือช่วยให้มีความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง ฯลฯ เป็นปัจจัยสำคัญของการมีความสุข แต่เชื่อมั้ยครับว่าต่อให้คุณมีสิ่งที่ว่ามาครบถ้วน บางครั้ง คุณก็หาความสุขไม่เจอ

ในศักราชของโดนัล ทรัมป์ มีรายงานว่ายอดขายของนิยาย 1984 พุ่งขึ้นมาติดอันดับเบสต์เซลเลอร์อีกครั้งแต่บทความในเว็บ theguardian.com บอกว่าลืม 1984 ไปก่อนนะจ๊ะ

Brave New World คือ 1 ใน 5 เล่มที่ควรอ่านที่สุดสำหรับ dystopia ในยุคทรัมป์

ในแง่ความดีงามนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ แม้นิยายเรื่องนี้จะเขียนไว้ตั้งแต่ 86 ปีก่อน มันก็ไม่เชย Brave New World ได้รับการยกย่องมาโดยตลอดเช่นเป็น 1 ใน 100 ของนิยายภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในยุคศตวรรษที่ 20 และเมื่อมีการจัดอันดับทำนองนี้ก็จะมีชื่อติดอยู่เสมอ

-โลกใหม่-ตามชื่อนิยายก็คือโลกในอนาคตมีการรวมกันเป็นรัฐเดียวชื่อ รัฐโลก(world state) แบ่งการปกครองเป็นสิบส่วนแต่ละส่วนถูกปกครองโดยท่านผู้นำที่มีตำแหน่งเรียกว่า World Controller

ประชากรใน Brave New World ไม่ได้เกิดมาจากการตั้งครรภ์ในมดลูก แต่มนุษย์ถูกสร้างด้วยกระบวนการอันทันสมัยที่สามารถใช้ไข่กับสเปิร์มมาผลิตตัวอ่อนคล้ายผสมเทียมแล้วมีการแบ่งจำนวนได้ตามต้องการ

มีการวางแผนตั้งแต่แรกแล้วให้แบ่งตัวอ่อนเป็นกลุ่มๆจัดเป็นวรรณะ วรรณะสูงสุดคือวรรณะแอลฟ่า แล้วไล่เรียงต่ำลงไปเป็นเบต้า เดลต้า ไปจนถึงชั้นล่างสุดคือเอพซิลอน

วรรณะที่เป็นชนชั้นล่างเมื่อโตมาก็มีหน้าที่ทำงานหนักกว่า เช่น งานซ่อมบำรุง , งานก่อสร้าง ฯลฯ มีความเป็นอยู่กระจอกงอกง่อยกว่าชนชั้นบนๆหรือจะเรียกว่าเป็นทาสในสังคมที่ไม่มีวันก้าวหน้าเลยก็ย่อมได้

แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยเรียกร้อง

ไม่เคยก่อม็อบ

ไม่เคยขอขึ้นค่าแรง

ถูกเอาเปรียบหรือดูถูกอย่างไรก็ไม่โกรธแค้น

ส่วนชนชั้นสูงใช้ชีวิตด้วยความสุขสบายไปวันๆก็ไม่ทำให้ใครหวั่นไหว

ประชากรไม่ว่าจะวรรณะใดแทบไม่เคยสัมผัสถึงความทุกข์ใจ ทุกๆคนมีความสุขครับ เมื่ออยู่ใน Brave new world

ลองสมมติเล่นๆนะครับว่าคุณต้องมาสวมบทบาทเป็นท่านผู้นำของรัฐโลกหรือ World Controller ที่ต้องสร้างสังคมชนชั้นแบบนี้ คุณจะใช้วิธีไหนผลิตคนรุ่นใหม่ออกมาเป็นกลุ่มวรรณะด้อยที่โตมาเป็นขี้ข้าโดนใช้งานแบบไม่เป็นธรรม ยอมให้กลุ่มชนชั้นนำหรือไฮโซกับพวกพ้องเอาเปรียบได้โดยไม่ขัดขืน

ใช้อำนาจ บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อาวุธ ?

ได้ผลอยู่แหละครับ แต่มันจะได้ผลแค่ช่วงแรกที่ผู้คนหวาดกลัวแต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มีคนลุกขึ้นมาต้าน การใช้อำนาจแบบนี้ยิ่งนานก็จะยิ่งทำให้คุณล้าเพราะต้องคอยรับมือกับพวกที่คิดต่อต้าน และสิ้นเปลืองงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ แถมวันดีคืนดีที่พวกเขารวมตัวกันสู้ คุณก็อาจพ่ายแพ้

แต่ถ้าคุณสามารถทำให้ประชากรเชื่อฟังหละ

ถ้าให้พวกเขายอมรับการถูกเอาเปรียบตั้งแต่แรกเกิด

ถ้าทำให้พวกเขามีความสุขกับการถูกกดขี่ หรือไม่ก็ภูมิใจที่ได้ทำงานหนักแต่ค่าตอบแทนต่ำ

ทำให้พวกเขาเชื่อว่าการโดนเอาเปรียบและถูกใช้งานแบบนี้เพราะกำลังทำเพื่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

ซึ่งถ้าทำสำเร็จ มันก็จะสบายกว่าใช่มั้ยละครับ คุณแค่นั่งกระดิกเท้าก็มีชนชั้นล่างไว้ใช้งาน จะเอาเปรียบอย่างไรพวกเขาก็ไม่ลุกมาประท้วง มีแต่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อชุมชน

นั่นแหละครับวิธีการใน Brave new world ที่ผ่านการทดลองมาแล้วหลายรุ่นจนค้นพบกระบวนการที่ทำให้ประชากรเกิดใหม่ทุกคนตั้งใจใช้ชีวิตเพื่อตอบสนองต่อสามสิ่งสำคัญที่พวกเขามองว่ายิ่งใหญ่สูงสุดและเป็นคำขวัญของรัฐโลกซึ่งก็คือ

ชุมชน ตัวตน และ ความมั่นคง - 'COMMUNITY, IDENTITY, STABILITY.'

ทุกชนชั้นจึงตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตตามนโยบายของผู้นำโลกที่ย้ำให้คิดถึงความมั่นคงหรือเสถียรภาพของสังคม(social stability)เป็นอันดับแรก หากสิ่งใดขัดต่อความมั่นคงก็จะมองว่าเป็นสิ่งผิดหรือไม่ควรทำ

แม้สิ่งนั้นจะเป็นเพียงความต้องการที่จะเลือกใช้ชีวิตที่มีอิสระโดยไม่ได้สร้างความเสียหายต่อสังคม เช่น การที่ตัวละครคนหนึ่งไม่อยากร่วมกิจกรรมของรัฐโลกหรือไม่อยากมีความสุขแบบที่ผู้นำวางแผนไว้ให้ ฯลฯ ก็จะถูกตัดสินว่าเป็นการสั่นคลอนต่อความมั่นคง

แล้วกระบวนการทำให้ประชาชนมีความสุข ใน Brave New world นั้นทำอย่างไร ?

เริ่มจากกระบวนการที่มีชื่อว่าโบกานอฟสกี้(Bokanovsky)คือการแบ่งตัวอ่อนให้แตกหน่อออกมาเป็น 96 ชีวิต จากนั้นตัวอ่อนก็จะถูกกำหนดไว้แล้วว่าโตขึ้นมาจะอยู่ในลำดับชั้นใดในสังคม

เช่น ถ้าถูกเลือกให้เป็นชนชั้นแอลฟ่าก็ยินดีด้วยครับ เพราะเท่ากับจะโตมาเป็นอีลีทใช้ชีวิตแบบมีอภิสิทธิเหนือผู้อื่น ไปไหนมาไหนก็วีไอพี งานก็ทำไม่ต้องหนักมากแต่ได้ใช้ชีวิตฟู่ฟ่า

แต่ถ้าถูกเลือกเป็นชนชั้นเอพซิลอนก็ซวยไปเพราะเป็นแรงงานที่ต้องทำงานหนักเพื่อสังคมโดยไม่มีสิทธิเสวยสุขเหมือนชนชั้นสูง ทำหนักแค่ไหนก็ไม่ก้าวหน้าไม่มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรดีๆเหมือนชนชั้นสูงกว่า

เมื่อแบ่งกลุ่มเสร็จก็มีการเตรียมปรับสภาพร่างกายของเหล่าตัวอ่อน เช่น ถ้าเป็นชนชั้นเอพซิลอนก็จะได้ออกซิเจนน้อยกว่าเพราะไม่จำเป็นต้องเอาไปบำรุงสมองให้มากนัก แล้วหากถูกกำหนดไว้แล้วว่าโตไปเป็นกรรมกรเหมืองแร่ ก็จะมีการปรับสภาพร่างกายเช่นปรับอุณหภูมิในห้องให้ร้อนเพื่อคุ้นเคยตั้งแต่ตัวอ่อนให้เหมาะสมกับการโตไปเป็นกรรมกรในเหมือง

แต่สภาพจิตใจละ?

จะทำอย่างไรถ้าเด็กในชนชั้นเอพซิลอนโตมาแล้วไม่อยากเป็นแรงงานไปทั้งชีวิต?

จะทำอย่างไรถ้าพวกเขาเริ่มรู้สึกอึดอัดในความไม่เท่าเทียมจนออกมาก่อม็อบ?

หรือจะทำอย่างไรถ้าพวกเขามีนิยามความสุขที่ต่างจากรัฐกำหนดมาว่าต้องมีความสุขแบบนี้นะ หรืออยากจะมีเสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตของตัวเอง ?

ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นรัฐโลกก็คงไม่สามารถรักษาความมั่นคงได้อย่างที่คำขวัญตั้งไว้แน่ๆ

ไม่ต้องห่วงครับ เพราะท่านผู้นำยุคแรกๆวางแผนมาดี คือนอกจากการเตรียมร่างกายยังมีการเตรียมจิตใจด้วย ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์เพาะตัวอ่อนและปรับสภาพมนุษย์อธิบายว่า จิตใจของคนแต่ละชนชั้นจะถูกปรับให้เข้ากับสภาพร่างกายโดยเคล็ดลับสำคัญในการปรับสภาพจิตใจ คือทำให้เด็กๆที่เกิดมาชอบในสิ่งที่ถูกกำหนดให้ทำ

The secret of happiness and virtue – liking what you’ve got to do

ทุกกิจกรรมที่สร้างขึ้นมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือทำให้พวกเขากลายมาเป็นประชากรที่ ‘ชอบ’ ชะตาชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของตัวเอง (unescapable social destiny)

กระบวนการสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนั้นก็มาจากเทคนิกที่ชื่อว่า Hypnopaedia

Hypnopaedia คือการกล่อมสอนตอนนอนหลับ

โดยรัฐจะเปิดเทปกรอกหูเด็กๆตั้งแต่แบเบาะตอนนอนทุกวัน เดิมทีนั้นเนื้อหาในเทปจะเป็นความรู้ทั่วไป แต่จากการทดสอบรุ่นแรกๆพบว่าสิ่งที่เป็นความรู้ไม่สามารถปลูกฝังได้ดีเท่าการปลูกฝังศีลธรรมที่ชี้นำว่าอะไรดี อะไรชั่ว เพราะมันไม่ต้องใช้เหตุผลที่ซับซ้อนแต่เด็กท่องจำแล้วเชื่อไปเลย

ตัวอย่างของเทปที่ใช้ใน Hypnopaedia เช่น ถ้าคุณเป็นชนชั้นเบต้า คุณก็จะถูกกรอกหูตอนนอนให้เชื่อว่า

...ระบบชนชั้นเป็นสิ่งที่ดี ชนชั้นเอพซิลอนมีหน้าที่เป็นแรงงานก็เหมาะสมแล้วเพราะพวกนั้นโง่ ชนชั้นแอลฟ่าคือชนชั้นฉลาดและก็ทำงานหนักอยู่แล้ว ส่วนคุณนั้นโชคดีเป็นบ้าที่เกิดมาเป็นเบต้าซึ่งไม่ต้องทำงานหนัก ... ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้จะถูกกรอกหูไม่ต่ำว่าสี่สิบครั้งต่อคืนตั้งแต่ทารกจนโต ซึ่งเมื่อมันฝังในความคิดสำเร็จ มันก็จะทำให้เด็กชนชั้นเบต้าโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้สึกอะไรเวลาเห็นชนชั้นเอพซิลอนถูกกดขี่ และก็ไม่อิจฉาชนชั้นแอลฟ่า

(เช่นเดียวกันกับชนชั้นเอพซิลอนที่ฟังแต่การกล่อมใส่หูว่าชนชั้นตัวเองนั้นดีเพียงใดที่เกิดมาทำงานเพื่อสังคม)

ท่านผู้อำนวยการศูนย์ฯบอกว่ากระบวนการ Hypnopaedia เป็นพลังในการสร้างศีลธรรมและสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เพราะเมื่อกรอกหูเด็กๆท่องวัน ให้เด็กท่องจำจนขึ้นใจ แนวคิดทางศีลธรรมเหล่านั้นก็หลอมรวมกลายเป็นสภาพจิตใจเด็กอย่างสมบูรณ์แล้วมันก็จะสืบเนื่องไปจนถึงผู้ใหญ่จนวันตาย

จิตใจที่ถูกสร้างขึ้นมานี้จะเป็นตัวตัดสินพิพากษาเรื่องต่างๆในชีวิตของเด็กคนนั้น ตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด และเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจในแต่ละเรื่องที่เข้ามาในชีวิต

แล้วอย่าลืมนะครับว่าคำแนะนำที่ฝังหัวให้เด็กจำเหล่านั้นล้วนมาจากรัฐ เด็กไม่เคยเรียนรู้ดีหรือชั่วหรือสุขหรือทุกข์จากใครเลย รัฐเป็นเสมือนผู้ปกครองไปจนพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นก็เท่ากับว่า

เด็กทุกคนมีกรอบความคิด(mindset)สอดคล้องกับแนวทางที่รัฐต้องการ

เป็นเด็กน่ารักว่านอนสอนง่าย โตมาเป็นประชากรที่เชื่อฟังคำสั่งรัฐอย่างหมดใจ ตัดสินว่าอะไรดีอะไรชั่วตามนิยามที่รัฐฝังหัวไว้ ไม่คิดจะทำอะไรตามความต้องการแท้จริงของตัวเอง(หรือถ้าคิดขัดขืนก็จะถูกเปลี่ยนให้คล้อยตาม) ซึ่งก็ทำให้การประท้วงหรือต่อต้านอันจะทำให้ความมั่นคงสั่นคลอนนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

สุดยอดเลยใช่มั้ยครับ

ผู้นำของรัฐโลกมีความสุข

ประชาชนทุกชนชั้นมีความสุข

ทุกๆคนในBrave new world มีความสุขแม้จะถูกกดขี่,ไม่มีเสรีภาพในการเลือกแม้กระทั่งการใช้ชีวิตง่ายๆ และโดนเอาเปรียบไปจนวันสุดท้ายของชีวิต

**

ยังมีเคล็ดลับความสุขอีกหลายอย่างใน Brave new world ที่ผมจะขอยกยอดไปต่อที่บล็อกหน้า แต่จากกระบวนการสร้างสุขคร่าวๆที่อ่านมานี้ก็น่าจะทำให้พอเห็นภาพแล้วใช่มั้ยครับว่า

สูตรในการสร้างความสุขในตัวมนุษย์ ย่อมไม่ได้มาจากปัจจัยทางจิตวิทยาอย่างเดียว เช่น ต่อให้คุณปลูกฝัง self esteem ที่ดีให้เด็ก , สร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นตั้งแต่แบะเบาะ , มอบความรักและความเอาใจใส่อย่างดี , สอนให้เด็กมีเมตตา ฯลฯ

แต่ถ้าเด็กคนนั้นมีชีวิตแบบกัดก้อนเกลือกิน หิวไส้กิ่วทุกวัน น้ำตาลในเลือดลดต่ำคราใดก็จะเริ่มมีอาการหน้ามืด อ่อนเพลีย หงุดหงิด แล้วถ้าไม่มีอันจะกินเรื้อรัง ขาดสารอาหาร สภาพร่างกายทรุดโทรมก็ยากที่จะพบความสุข

หรือถ้าเด็กคนนั้นโตมาในโลกแบบ Brave new world ถึงกินอิ่มอยู่สบายก็คงเป็นเรื่องยากที่จะมีความสุขอีกเช่นกัน

เพราะหากถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีแต่จะทำให้ self esteem ค่อยๆผุพัง

ความรักที่เคยได้มาไม่สามารถเอาชนะความไม่เป็นธรรมที่พวกเขาต้องเผชิญ

ความเมตตาในใจจะเอาไปทำอะไรในกรณีที่ถูกกดค่าแรง

ครั้นคิดจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ก็จะโดนข้อหาสร้างความกระด้างกระเดื่องต่อสังคม ขัดกับคำขวัญที่เคยท่องๆมา

โครงสร้างของสังคม จึงมีผลต่อความสุขของมนุษย์ไม่แพ้เรื่องปัจจัยทางจิตวิทยา

การสร้างความสุขเป็นเรื่องง่ายก็จริงแต่มันก็ซับซ้อนเกินกว่าจะแค่บอกว่าให้ความรักหรือสร้างความภาคภูมิใจ เพราะมนุษย์ล้วนแตกต่าง ปัจจัยในการจะสุขหรือทุกข์ของแต่ละคนนั้นแตกต่าง ปัจจัยของสังคมแต่ละแห่งก็แตกต่าง

ยกเว้นว่าจะเป็นโครงสร้างสังคมแบบใน Brave new world ที่ความสุขสร้างง่ายคล้ายๆกับจะบอกว่า ‘จงมีความสุข’แล้วทุกคนก็มีความสุขตาม เพราะเริ่มจากการสร้างให้คนทุกคนคิดเหมือนกันหมด สามารถควบคุมให้ขาดอิสระที่จะเลือกแตกต่าง สามารถทำให้ประชาชนคล้อยตามแนวทางอย่างเบ็ดเสร็จ จากการกล่อมสอนมาแบบเดียวกัน

Cr. IbehindYou

Spoil

https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93/%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82-%E0%B8%BAblog-no26/10155009003586465[/spoil

Smildz, ศาสตราจารย์, MyLiver, Barcelonistu, Ezreal