ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 06 Feb 2008
ตอบ: 845
ที่อยู่: เทวากับซาตาน นางมารกับเทพบุตร เศษมนุษย์กับปถุชน สัตว์สังคมกับศพเดินดิน
โพสเมื่อ: Tue Jan 24, 2017 7:07 pm
[World War The Series] 3.1.จักรวรรดิยักษ์ใหญ่ในยุโรปก่อนมหาสงครามจะประทุ {บทความ}
[World War The Series] 1.สงครามโลก:ตัวแทนแห่งความพินาศ {บทความ}==> http://www.soccersuck.com/boards/topic/1458735/1/#33803266

[World War The Series] 2.ปฐมบทและปัจจัยสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 {บทความ}==> http://www.soccersuck.com/boards/topic/1459110

กลับมาพบกับ WW Series อีกครั้งหลังจากหายไปสามสี่วันนะครับเนื่องจากผมป่วยครับ วันนี้ผมจะขอนำเสนอในส่วนของพี่บิ๊กเบิ้มจักรวรรดิต่างๆในยุโรปสมัยนั้นนะครับ ผู้เป็นตัวแปรให้เกิดสงครามในครั้งนี้ จะมีชาติไหนกันบ้างเราไปดูกันดีกว่าครับ

เริ่มจากมหาอำนาจที่ยืนยงมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15

จักรวรรดิอังกฤษหรือจักรวรรดิบริเทน



จักรวรรดิอังกฤษ(British Empire แปลตรงตัวว่า จักรวรรดิบริเทน) นับเป็นจัรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ณ ช่วงเวลาหนึ่งถือเป็นมหาอำนาจที่สำคัญที่สุดในโลก เป็นต้นตำรับของผู้ให้กำเนิด จักรวรรดิอาณานิคมของยุโรป

ในศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิอังกฤษนับเป็นมหาอำนาจที่น่าเกรงขามมากที่สุด โดยเป็นทั้งมหาอำนาจทางทะเล และมีอาณานิคมโพ้นทะเลมากที่สุดจนได้รับสมญาญานามว่า “ดินแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดิน” เป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและมั่งคั่งที่สุดอีกด้วย

การก่อตั้งจักรวรรดิอังกฤษเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่ประเทศอังกฤษจะรวมตัวกันเป็นรัฐเดี่ยวทางการเมือง เมืออังกฤษและสก็อตแลนด์ยังคงเป็นราชอาณาจักรที่แยกออกจากกัน

อังกฤษในยุคนี้ยังสามารถเรียกหรือได้ชื่ออีกชื่อว่า”วิคตอเรียน” (Victorian Age) ซึ่งชื่อนี้ได้จากพระนามของพระราชินีนาถวิคตอเรีย ผู้ทรงครองราชย์ ค.ศ.1837-1901

ว่ากันว่าเมื่อจบสงครามนโปเลียน 1815 ซึ่งเป็นสงครามใหญ่สงครามหนึ่งในยุโรป อังกฤษจึงเริ่มหันมาสนใจเหตุการณ์ต่างๆภายในหมู่เกาะตัวเองและเริ่มสนใจสร้างจักรวรรดิที่แท้จริง

ราขอาณาจักรสก๊อตแลนด์และราชอาณาจักรอังกฤษนั้นได้ก่อตัวขึ้นเป็นรัฐแยกกันตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 โดยแต่ละรัฐมีราชวงศ์และระบอบการปกครองของตัวเอง ส่วนราชวงศ์เวลล์ตกมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษจากบทกฎหมายรุดดลันในปี 1384 และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอังกฤษในปี 1535 ขณะที่ประเทศอังกฤษและสก๊อตแลนด์นั้นรวมกันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรกเมื่อครั้งที่พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสก๊อตแลนด์ได้ปกครองอังกฤษเนื่องจากพระนางอลิซาเบธที่ 1 ไม่มีรัชทายาท ทั้งสองประเทศจึงอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริน์องค์เดียวกันแต่ต่างฝ่ายต่างมีรัฐบาลอิสระของตนเอง ต่อมาภายหลังอังกฤษและสก๊อตแลนด์ก็ได้รวมตัวกันเป็นสหภาพทางการเมืองในชื่อ ราชอาณาจักรบริเทนใหญ่

พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ.1800 ได้รวมราชอาณาจักรบริเทนใหญ่กับราชอาณาจักรไอร์แลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ค่อยๆตกเข้ามาอยู่ในการควบคุมของอังกฤษ กลายเป็นสหราชอาณาจักรบริเทนใหญ่และไอร์แลนด์

ต่อมาในปี 1922 แคว้นต่างๆ 26 แคว้น จาก 32 แคว้นบนเกาะไอร์แลนด์ตัดสินใจที่จะเป็นอิสระไม่ขึ้นกับสหราชอาณาจักรและตั้งเป็นประเทศใหม่ชื่อประเทศ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ หลังจากนั้นอีก 7 ปี แคว้นที่เหลืออีก 6 แคว้นตัดสินใจเข้าร่วมกับสหราชอาณาจักรดังเดิมและตั้งชื่อแคว้นของตนว่าไอร์แลนด์เหนือ (แค่ในอาณาเขตหมู่เกาะตนเองก็ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงๆ)




ในศตวรรษที่ 19 สหราชอาณาจักรเป็นประเทศผู้นำของโลกอย่างแท้จริงในหลายๆด้าน เช่น การพัฒนาระบอบทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบรัฐสภารวมถึงการเผยแพร่ทางด้านศิลปะ วรรณกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถือเป็นเจ้าแห่งจักรวรรดิอย่างแท้จริงในช่วงก่อนสิ้นศตวรรษที่19 เนื่องจากสามรถครอบครองดินแดนถึงหนึ่งในสี่ของพื้นผิวโลกและมีประชากรโลกเป็นหนึ่งในสามของโลกในช่วงที่มีการขยายตัวสูงสุด ทำให้เป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกทั้งในด้านดินแดนปละประชากร

สหราขอาณาจักรมีรูปแบบการปกครองรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา โดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีนั้นเลือกโดยรัฐสภา และมีหน้าที่รับผิดชอบต่อรัฐสภาเช่นเดียวกัน ทั้งนี้รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรเป็นระบบสภาคู่แบ่งเป็นสองสภา คือ สภาขุนนางเป็นสภาสูง จากการแต่งตั้ง และสภาสามัญชนเป็นสภาล่าง มาจากการเลือกตั้ง และผู้นำของรัฐสภาคือพระมหากษัตริย์ สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรแต่กฎหมายส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักรอยู่ในรูปของประเพณี





ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิอังกฤษมีพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งราชวงศ์วินเซอร์เป็นพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเพื่อให้เห็นภาพของช่วงสงครามชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอนำพระราชประวัติของกษัตริย์แห่งจักรวรรดิบริเทนในช่วงนั้นมานำเสนอ



สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 มีพระนามเดิมว่า จอร์จ เฟรเดอริค เออร์เนส อัลเบิร์ต ทรงประสูติเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1865

แท้จริงแล้วราชวงศ์ของพระองค์คือ ราชวงศ์แซ็กส์ขโคบูร์กและก็อตธา ราชวงศ์นี้เริ่มต้นในเยอรมนี เคยเป็นราชวงศ์ที่ครองบัลลังก์ในหลายประเทศของยุโรป และปัจจุบันมีสาขาสืบทอดที่ยังครองราชย์บัลลังก์เบลเยี่ยม โดยผ่านทางเชื้อสายในสมเด็จพระราชาธิบดีเลโอโพลด์ที่ 1 แห่งเบลเยี่ยมและสหราชอาณาจักร รวมถุงเครือจักรภพโดยผ่านทางเชื่อสายในเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต ในสหราชอาณาจักร ราชวงศ์แซ็กส์ขโคบูร์กและก็อตธาเป็นสาขาหนึ่งของราชวงศ์แซ็กซอน เชื้อสายเวตติน (ราชวงศ์ในยุโรปเป็นเรื่องที่น่าสนใจวึ่งจะหามานำเสนอในหัวข้อต่อๆไปครับ)

สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้ทรงเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นราชวงศ์วินเซอร์ ในปี 1817 กล่าวคือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พระองค์ได้ทรงสละพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ของเยอรมนีทั้งหมดในนามของพระประยูรญาติอังกฤษและเปลี่ยนชื่อราชวงศ์จากแซ็กซ์ขโคบูร์กและก็อตธา เป็น วินเซอร์ ในรัชกาลของพระองค์



(สัญลักษณ์ราชวงศ์วินเซอร์)

พระราชบัญญัติ Statute of Westminster ได้แยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกต่างหาก พระองค์จึงปกครองดินแดนต่างๆในปกครองของอังกฤษแบบราชอาณาจักรอิสระ และการกำเนิดขึ้นของลัทธิสังคมนิยม ฟาสซิสต์ และลัทธิสาธารณรัฐนิยมของไอร์แลนด์ได้เปลี่ยนแนวคิดทางการเมือง

พระองค์ประสูติ ณ ตำหนักมาร์ลโบโร กรุงลอนดอน พระชนกคือเจ้าชายแห่งเวลล์ (หรือสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7) พราะราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซ็กซ์ขโคบูร์กและก้อตธา พระชนนีคือ เจ้าหญิงแห่งเวลล์ (ภายหลังคือ สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา) พระราชธิดาองค์โตในสมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก (แต่งข้ามไปมากันทั้งยุโรปเลยทีเดียว) ในฐานะพระราชนัดดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย ผ่านสายพระราชโอรส พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าชายจอร์จแห่งเวลล์ ตั้งแต่แรกประสูติ



(พระราชชนกและพระราชชนนี)

พระองค์ทรงเข้ารับศีลจุ่มเมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 1865 ณ โบสถ์ประจำราชวงศ์ ในปราสาทวินเซอร์ ในฐานะพระโอรสองค์รองในเจ้าชายแห่งเวลล์จึงไม่ได้มีการคาดหวังว่าเจ้าชายจอร์จจะได้เสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์เนื่องจากเจ้าชายอัลเบิร์ต วิกเตอร์ พระเชษฐา ทรงอยู่ลำดับที่ 2 ของสายการสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระชนก

พระองค์ทรงปฏิบัติราชการในราชนาวีอังกฤษตั้งแต่พระชนมายุ 12 พรรษา



แต่หลังการสิ้นพระชนม์อย่างไม่คาดฝันของ เจ้าชายอัลเบิร์ต วิกเตอร์ ดยุคแห่งคลาเรนซ์ พระเซษฐา ทำให้ทรงกลายเป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์และอภิเษกสมรสกับพระคู่หมั้นของพระเซษฐาคือ เจ้าหญิงแมรี่แห่งแท็ค



(เจ้าชายอัลเบิร์ต วิกเตอร์ ดยุคแห่งคลาเรนซ์)



(ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแมรี่แห่งแท็ค)

ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะเสด็จประพาสจักรวรรดิอังกฤษเป็นบางโอกาส แต่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงโปรดที่จะประทับที่พระตำหนักพร้อมกับการสะสมดวงตราไปรษณียากรและทรงมีชีวิตที่ต่อมานักชีวประวัติเห็นว่าไม่น่าสนใจเนื่องจากความธรรมดาและเรียบง่าย

เมื่อสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระบรมราชชนกเสด็จสวรรคตในปี 1910 พระองค์ทรงเถลิงราชย์เป็นสมเด็จพระมหากษัตริย์-จักรพรรดิแห่งสหราชอาณาจักรและจักวรรดิบริเทน อีกทั้งพระองค์ยังทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอินเดียอีกด้วย เป็นเพียงกษัตริย์อังกฤษพระองค์เดียวที่มีพระบรมราชาภิเษกที่อินเดีย

สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงได้รับความทุกข์ทรมานจากการประชวรตลอดช่วงใหญ่ของปลายรัชกาล ในการเสด็จสวรรคตของพระองค์ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระราชโอรสองค์โตเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติสืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อไป

พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติตั้งแต่ 6 พฤษภาคม 1910 ผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 1914- 1919) จนกระทั่งเสด็จสวรรคตในปี 1936



จบเป็นที่เรียบร้อยครับกับเรื่องราวของหนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอนต่อไปจะนำเสนอกันสองจักรวรรดิเลยคือ "จักรวรรดิรุสเซีย" และ "จักรวรรดิฝรั่งเศส" ครับ อย่าลืมติดตามกันนะครับ[/img]
เข้าร่วม: 03 Oct 2007
ตอบ: 28830
ที่อยู่: แขนของทางช้างเผือก
โพสเมื่อ: Tue Jan 24, 2017 7:36 pm
[RE: [World War The Series] 3.1.จักรวรรดิยักษ์ใหญ่ในยุโรปก่อนมหาสงครามจะประทุ {บทความ}]
ต้องบอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ตัวจุดจบระบบกษัตริย์ในยุโรปเลยแทบจะหมด (ถึงจะยังเหลือเยอะก็เถอะ) และผมก็ปวดหัวกับระบบกษัตริย์ในยุโรปด้วย เกี่ยวดองกันงง ไปหมด

มีคำกล่าวไว้ (ยาวนานมากๆตั้งแต่สมัยอังกฤษครองโลก)ที่แม้ปัจจุบันอเมริกาก็ยังยึดถือคำกล่าวนี้ "ใครครองทะเลได้ คนนั้นครองโลก" และก็ดูเหมือนจะจริงซะด้วย
0
0
เข้าร่วม: 31 Jan 2014
ตอบ: 11797
ที่อยู่: บนต้นไม้
โพสเมื่อ: Tue Jan 24, 2017 8:20 pm
[RE: [World War The Series] 3.1.จักรวรรดิยักษ์ใหญ่ในยุโรปก่อนมหาสงครามจะประทุ {บทความ}]
Titan พิมพ์ว่า:
ต้องบอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ตัวจุดจบระบบกษัตริย์ในยุโรปเลยแทบจะหมด (ถึงจะยังเหลือเยอะก็เถอะ) และผมก็ปวดหัวกับระบบกษัตริย์ในยุโรปด้วย เกี่ยวดองกันงง ไปหมด

มีคำกล่าวไว้ (ยาวนานมากๆตั้งแต่สมัยอังกฤษครองโลก)ที่แม้ปัจจุบันอเมริกาก็ยังยึดถือคำกล่าวนี้ "ใครครองทะเลได้ คนนั้นครองโลก" และก็ดูเหมือนจะจริงซะด้วย  
ผมว่าน่าจะทั่วโลกเลยมั้ง อย่างญี่ปุ่นก็โดน จักรวรรดิ ล้มอำนาจ จีนก็โดน ล้อมอำนาจจากคณะคอมมิวนิส
0
0
เข้าร่วม: 03 Oct 2007
ตอบ: 28830
ที่อยู่: แขนของทางช้างเผือก
โพสเมื่อ: Tue Jan 24, 2017 8:41 pm
[RE: [World War The Series] 3.1.จักรวรรดิยักษ์ใหญ่ในยุโรปก่อนมหาสงครามจะประทุ {บทความ}]
แถดๆ พิมพ์ว่า:
Titan พิมพ์ว่า:
ต้องบอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ตัวจุดจบระบบกษัตริย์ในยุโรปเลยแทบจะหมด (ถึงจะยังเหลือเยอะก็เถอะ) และผมก็ปวดหัวกับระบบกษัตริย์ในยุโรปด้วย เกี่ยวดองกันงง ไปหมด

มีคำกล่าวไว้ (ยาวนานมากๆตั้งแต่สมัยอังกฤษครองโลก)ที่แม้ปัจจุบันอเมริกาก็ยังยึดถือคำกล่าวนี้ "ใครครองทะเลได้ คนนั้นครองโลก" และก็ดูเหมือนจะจริงซะด้วย  
ผมว่าน่าจะทั่วโลกเลยมั้ง อย่างญี่ปุ่นก็โดน จักรวรรดิ ล้มอำนาจ จีนก็โดน ล้อมอำนาจจากคณะคอมมิวนิส  

อย่างญี่ปุ่น จักรพรรดิยังคงอยู่แต่ไม่มีอำนาจ จริงๆจะว่าไปจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะมามีอำนาจเอาตอนสมัยเมจินี่เอง สมัยเอโดะหรือสมัยสงครามกลางเมืองย้อนไปก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรอยู่แล้ว อำนาจตกกับโชกุนแทบตลอดอยู่ดี สรุปผมว่าญี่ปุ่นก็แค่จักรพรรดิ์กลับไปเป็นสภาพแบบสมัยเอโดะแค่นั้นแหละ
เข้าร่วม: 31 Jan 2014
ตอบ: 11797
ที่อยู่: บนต้นไม้
โพสเมื่อ: Tue Jan 24, 2017 10:03 pm
[RE: [World War The Series] 3.1.จักรวรรดิยักษ์ใหญ่ในยุโรปก่อนมหาสงครามจะประทุ {บทความ}]
Titan พิมพ์ว่า:
แถดๆ พิมพ์ว่า:
Titan พิมพ์ว่า:
ต้องบอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ตัวจุดจบระบบกษัตริย์ในยุโรปเลยแทบจะหมด (ถึงจะยังเหลือเยอะก็เถอะ) และผมก็ปวดหัวกับระบบกษัตริย์ในยุโรปด้วย เกี่ยวดองกันงง ไปหมด

มีคำกล่าวไว้ (ยาวนานมากๆตั้งแต่สมัยอังกฤษครองโลก)ที่แม้ปัจจุบันอเมริกาก็ยังยึดถือคำกล่าวนี้ "ใครครองทะเลได้ คนนั้นครองโลก" และก็ดูเหมือนจะจริงซะด้วย  
ผมว่าน่าจะทั่วโลกเลยมั้ง อย่างญี่ปุ่นก็โดน จักรวรรดิ ล้มอำนาจ จีนก็โดน ล้อมอำนาจจากคณะคอมมิวนิส  

อย่างญี่ปุ่น จักรพรรดิยังคงอยู่แต่ไม่มีอำนาจ จริงๆจะว่าไปจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะมามีอำนาจเอาตอนสมัยเมจินี่เอง สมัยเอโดะหรือสมัยสงครามกลางเมืองย้อนไปก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรอยู่แล้ว อำนาจตกกับโชกุนแทบตลอดอยู่ดี สรุปผมว่าญี่ปุ่นก็แค่จักรพรรดิ์กลับไปเป็นสภาพแบบสมัยเอโดะแค่นั้นแหละ  
คือถ้าผม เข้าใจไม่ผิด

ญี่ปุ่นจะแบ่ง เป็น 2 อำนาจ ในสมัยก่อน คือ โชกุน กับ จักพรรดิ คานอำนาจกันมาตลอด

แต่ต่อมาพอโลกเปลี่ยนแปลง คณะปฏิวัติเลยมีอำนาจแทน แล้วหันไปร่วมมือกับจักพรรดิ แล้วโค่นล้มอำนาจโชกุน สำเร็จ
0
0
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 3692
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Jan 25, 2017 4:50 am
[RE: [World War The Series] 3.1.จักรวรรดิยักษ์ใหญ่ในยุโรปก่อนมหาสงครามจะประทุ {บทความ}]
รอที่ท่านบอกว่าสยามประเทศเป็นตัวแปรสำคัญนึงในช่วง ww1 เมื่อตอนที่ 1 อยู่นะครับ
0
0
เข้าร่วม: 06 Feb 2008
ตอบ: 845
ที่อยู่: เทวากับซาตาน นางมารกับเทพบุตร เศษมนุษย์กับปถุชน สัตว์สังคมกับศพเดินดิน
โพสเมื่อ: Wed Jan 25, 2017 10:52 pm
[RE: [World War The Series] 3.1.จักรวรรดิยักษ์ใหญ่ในยุโรปก่อนมหาสงครามจะประทุ {บทความ}]
TheBeatles29 พิมพ์ว่า:
รอที่ท่านบอกว่าสยามประเทศเป็นตัวแปรสำคัญนึงในช่วง ww1 เมื่อตอนที่ 1 อยู่นะครับ  


รอนานสักนิดนะครับ เอาเอามาเล่าแน่นอนครับ พอดีผมพึ่งหายปวย นั้งพิมพ์นานๆไม่ค่อยไหวครับช่วงนี้