Thailand 4.0 เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงตลอดในรัฐบาลชุดนี้ เพราะต้องการยกระดับประเทศไทยด้วยอุตสาหกรรมใหม่ แต่อยากทำอะไรใหม่ๆ แล้วคนไม่พร้อมจะเริ่มได้อย่างไร โดยเฉพาะบุคลากรด้านไอทีที่ถือเป็นฐานรากของการเดินหน้านโยบายนี้

คนขาด 3 เท่าของความต้องการ และไร้คุณภาพ

พิสิษฐ์ ชาญเกียรติก้อง คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ บอกว่า ในแต่ละปีสถาบันการศึกษาไทยสามารถผลิตคนไอที โดยเฉพาะกลุ่ม Developer และ Programmer ได้เพียง 2,000 คน/ปี ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดต้องการถึง 3 เท่าตัว ประกอบกับคนเหล่านั้นจบออกมาแล้วมีคุณภาพ หรือไม่ต้องสอนอะไรมากก็ทำได้เลยแค่ 16.5% เท่านั้น ที่สำคัญคนกลุ่มนี้ยังเสี่ยงสมองไหลออกไปต่างประเทศ ผ่านค่าตอบแทน และ Career Path ที่ดีกว่า ดังนั้นถ้าปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นต่อไป โอกาสที่ประเทศจะพัฒนาสู่ Thailand 4.0 ก็ยากขึ้น

“ต้องเข้าใจก่อนว่าสถาบันการศึกษาในประเทศไทยยังค่อนข้างเน้นปริมาณ มากกว่าคุณภาพ หรือการใส่ความรู้ให้เด็กเข้าไปมากๆ เผื่อจะเอาไปใช้ในอนาคต แต่สุดท้ายพอจบออกมาแล้ว ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง ดังนั้นเวลาไปทำงานที่ไหน ก็ต้องหัดใหม่ และกว่าจะเป็นงานก็ต้องใช้เวลานาน แถมบางคนก็ไม่เก่งจริงเหมือนที่เรียน ประกอบกับฝั่งสายอาชีพก็ยังไม่สนับสนุนการเรียนเกี่ยวกับเรื่องไอทีเชิงลึก ดังนั้นคงไม่แปลกที่อาชีพสายไอทีจะขาดแคลนเป็น 3 อันดับแรก ใกล้เคียงกับนักบัญชี และพนักงานขาย แล้วไหนจะเรื่อง Entrepreneur ที่ทำให้คนไม่อยากเป็นลูกจ้างอีกด้วย”

แก้ปัญหาที่สถาบัน กระตุ้นรัฐสนับสนุนจริงจัง

อย่างไรก็ตาม การเดินหน้านโยบายเกี่ยวกับการยกระดับเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีใหม่นั้นเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ทุกประเทศต่างต้องการบุคลากรไอทีคุณภาพไปทำงานด้วย เพราะภายใน 5 ปีข้างหน้า โอกาสที่ 4 ใน 10 ของบริษัทที่ติดอยู่ในระดับท็อปของทุกอุตสาหกรรม เช่นไอที, สื่อต่างๆ, ค้าปลีก, การเงิน, โทรคมนาคม รวมถึงสถาบันการศึกษา จะถูกแทนที่ด้วย Digital Disruption ทั้งหมด ดังนั้นเพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกขบวน การกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐเข้ามากระตุ้นให้สถาบันการศึกษาสนับสนุนเรื่องการเรียนการสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ก็จำเป็น จะพึ่งแค่เอกชนสนับสนุนก็ไม่ได้

วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน ย้ำว่า ประเทศไทยค่อนข้างมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ สังเกตจากการลงทุนที่ยังเติบโต และการกระตุ้นการใช้เทคโนโลยีของภาครัฐ แต่ทั้งหมดนี้จะดีกว่าเดิม หากนโยบาย Digital Thailand รวมถึง Thailand 4.0 เดินไปอย่างถูกต้อง โดยบริษัทมีแผนที่จะร่วมมือกับสถาบันต่างๆ เพื่อผลิตบุคลากรด้านไอทีที่มีคุณภาพออกมากว่า 30,000 คน ภายใน 5 ปีข้างหน้า หลังจากก่อนนี้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษากว่า 50 แห่ง เพื่อมอบความรู้ด้านไอทีที่ถูกต้องกับนักเรียน นักศึกษากว่า 40,000 คน

สรุป

คนไอทีกลายเป็นอีกปัญหาสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศด้วนนโยบายดิจิทัลในแง่มุมต่างๆ ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องใส่ใจในเรื่องนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินหน้าเรื่องนี้ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะมาหวังพึ่งเอกชนอย่างเดียวไม่ได้ หน่วยงานรัฐต้องลงทุนปูพรมความรู้เรื่องนี้ให้กับสถาบันการศึกษาด้วย

https://brandinside.asia/less-it-specialist-on-digital-thailand/

เพราะขาดแคลนนี่แหละครับ 16.5% ที่ทำงานมีคุณภาพทำงานได้เลย รวมถึงพวกที่ทำงานมามีฝีมือประสบการณ์ถึงเรียกเงินเดือนได้

เอื้ออ เจ็บช้ำ

ผมก็เรียนด้านนี้อยู่ ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่ขึ้นทุกวัน

ไม่มีคุณภาพสิน่ะ บางทีกาสอนบ้านเราน่าจะเน้นเฉพาะทางกว่านี้ไปเลยน่ะตั้งแต่ มอปลายแบบเอาให้มันชัดเจนไปเลย ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆ

ผมเขียนโปรแกรมแค่พวกพื้นๆ ให้สรุปมึนตึบ

คิดแล้วอยากกลับไปเรียนใหม่

เงินเดือนน่ะ ให้ถึงมั้ย

คนไทยผมว่าฝีมือมีเยอะ แต่จะมีซักกี่บริษัทที่จะซัพพอร์ตแผนกนี้เต็มที่

ถึงว่ารับสมัครที่มาก็ไม่เก่ง เราก็นึกว่าหางานง่าย
มันไม่ได้ยากขนาดนั้นน้า

ที่ขาดตลาดเพราะ เอกชน ไม่ค่อยให้โอกาส เท่าไหร่

คนเก่งๆ ที่เคยสัมผัส ตอนจบใหม่ ๆ ก็กาก ๆ กันทั้งนั้น

พอถึงช่วงหนึ่ง มันจะเกิดคำถามว่า ใช่ชีวิตที่เราต้องการไหม ?

ถ้า ใช่ ก็ลุยต่อไปให้สุด

แต่ถ้าไม่ ก็มีเยอะที่ออกจากสายงาน IT ไปทำงานอย่างอื่น

คือ Programmer เก่งๆ คือเค้าจะมีความคิดด้านตรรกะและการวิเคราะห์ดี สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นทำงานด้านหลายสายมาก
ต้องถามว่าเมืองไทยมีกี่ที่ ที่ให้ราคา Programmer บ้าง
แล้วพอเงินไม่ค่อยถึง ก็เหลือไม่กี่คนที่ยังทำงานด้วยใจรัก หรือเจอสภาพแวดล้อมดี เงินดีๆหน่อยเท่านั้นแหละครับถึงจะอยู่สายนี้

ปล. สังเกตตอนนี้ บริษัทที่จ่ายเงินให้โปรแกรมเมอร์ในไทยที่ให้เยอะติดท็อปๆนี่ มักจะเป็นต่างชาติ บริษัทไทยหลายๆที่มองโปรแกรมเมอร์เป็นแค่กรรมกรจริงๆ
โปรแกรมเมอร์ไทยเองหลายๆคนก็ติดมักง่าย ทำงานลวกๆตามสภาพแวดล้อมประเทศก็มี เน้นทำเสร็จๆรับเงินไป

อังกฤษต้องเก่ง อ่านTextต้องได้

ประธานกลุ่มอโนมีน้า กล่าวไว้

บริษัทคนไทยเวลารับสมัครนี่เห็นประจำจะเอาทุกภาษา เงินเดือนน่ะหรอ 15,000

โปรแกรมเมอร์ถ้าไม่ฉลาดจริงยากมากๆที่จะทำได้

คนตีดอทเก่งโปรแกรมเมอร์จะเก่งด้วย

แต่แปลกใจ คนโคตรฉลาดขนาดนี้เงินเดือนนี่กรรมกรน้อยกว่าอนาไลซิสอีก

คนส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักจบด้านนี้มาไม่ค่อยถนัดเขียน code กัน ไปทำอย่างอื่นกันซะมากกว่า

เหมือนตลกร้ายนะ คนเรียนโปรแกรมบ้านเราจริงๆเหลือน้อยมากเวลาจบ และจากคนจำนวนน้อยๆนี้ น้อยมากที่จะโปรแกรมเมอร์เก่ง แบบจริงๆ แล้วคุยภาษาคนรู้เรื่อง สำคัญนะ คำว่าคุยกันรู้เรื่อง บางคนเก่งแต่คุยไม่รู้เรื่อง มนุษย์สัมพันธ์ ไม่ได้ ความอดทนไม่มีเลย จะเทพขนาดไหนมันก็ไปต่อไม่ได้ ยกตัวอย่างจบมา(เอาภาพรวมทั้งประเทศมาเฉลี่ยกันนะ) 100% แบ่งเป็น

ห่วย หรือ เก่งแต่ในห้องเรียน ทฤษฎี ในตอนสอบ,ไม่พร้อมที่จะทำงาน 40%

ถูไถ พอใช้ บริษัทต้องเอาไปวัดดวงต่อ 30%

เก่งจริง 30 %

แล้วในเก่ง 30% โปรแกรมเมอร์ที่คุยรู้เรื่องจะเหลือแต่ 15% นั่นหมายถึงจบมา 100 เหลือพวกที่จะพร้อมใช้งานจริงๆแค่ 10-15% เท่านั้น

ที่นี้ไอ้เก่งแล้วคุยรู้เรื่องที่เหลือน้อยมากๆ (15%) ก็ดันไปเจอบริษัทห่วยๆที่แม่งกดเงินเดือนโปรแกรมเมอร์อีก ที่เรียกกันว่ากรรมกรไอทีนะแหละ ส่วนหนึ่งเลยไปต่อโทเมื่อรวมกับพวกที่รู้ตัวว่าไม่เก่ง (85%) ที่เหลือซึ่งไปต่อโทเหมือนกันจบมาสอนเด็ก เราจึงเห็นอาจารย์มหาลัยบางคนที่ coding ได้กากกว่าโปรแกรมเมอร์กินเงินเดือน

บางส่วนที่เก่งแล้วเจอปัญหาเหมือนกันก็ไปทางอื่นได้เพราะคนที่เก่งโปรแกรมนั้นส่วนใหญ่ตรรกะจะเทพไปด้วย ทำให้สุดท้ายแล้วคนที่ไปต่อซึ่งเป็นส่วนน้อยมากๆ น้อยเหี้ยๆคือคนเก่งที่คุยรู้เรื่องแล้วโชคดีได้ไปอยู่บริษัทที่เค้าเห็นคุณค่า เงินเดือนดี เลี้ยงตัวเองได้ มีกำลังใจที่จะพัฒนาตัวเองเดินไปทางนี้ให้สุด พัฒนาจนกลายเป็นบุคลากรที่เรียกได้ว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศจึงเหลือน้อยมากๆ หมายถึงพวกที่เค้าบอกกันว่าเงินถึงไม่พอต้องกราบตีนด้วยถึงจะมาทำงานให้ เป็นยอดพีระมิดที่สามารถเรียกเงินเดือนได้ คนพวกที่ ญาติๆ ป้าๆ น้าๆ อาๆ ชอบบอกว่าเนี่ยเขียนโปรแกรมเงินดีนะ เรียนจบมาแล้วก็เงินเดือนเยอะแบบพี่เค้า(พวกที่เหลือรอดมาไม่ถึง 10% )

ตลกมะตรรกะบ้านเรา

ตามนั้นเลยครับ แถมหลายๆคน เรียนหรือทำงานแล้วไม่ชอบ เปลี่ยนสายอีก (เช่นผมเป็นต้น)

วันๆอยู่แต่กับหน้าคอม แถมเอาจริงๆ กว่าจะเก่งระดับที่เรียกเงินสูงๆได้นี่ต้องใช้เวลานานพอสมควรด้วย

ส่วนตัวผม จบมาเป็นอยู่ไม่ถึงปีก็เปลี่ยนสาย รู้สึกว่าโอเคกว่า เทียบเงินกันแล้วพอๆกัน

ข้อดีที่สำหรับโปรแกรมเมอร์ในความเห็นส่วนตัวผมคือ โปรแกรมเมอร์มันต่อยอดได้หลายสายกว่า ตกงานยาก แล้วก็รับฟรีแลนซ์ได้ครับ

โปรแกรมเมอร์ นี่ ถ้าเก่งจริง 50k นี่ หาง่ายเลยครับ อายุไม่ถึง30ก็ได้แล้ว

มันจะลำบากช่วงจบใหม่หน่อยครับ สำหรับพวกระดับกลาง (ระดับเทพปล่อยเค้าไป จองตัวตั้งแต่ยังไม่จบ) คืออาจจะเจอบริษัทไม่ดี กดเงิน แต่ถ้ามีประสบการณ์แล้ว + ของจริง เรียกเงินได้สบายครับ

ทุกวันนี้ หาคนยาก+หางานยากครับ งานว่างมีเยอะ คนว่างมีเยอะ แต่แมตซ์กันไม่ลง งานต้องการคนคุณภาพสูง คนต้องงานเงินดี เลยต้องมาวัดกันว่าของจริงมั้ย

คล้ายๆกับวิศวกรหรือสถาปนิก ตรงที่จบออกและมีคุณภาพนั้นมีจำนวนน้อย ปัญหาคุณภาพเจอเยอะในหลายๆวิชาชีพเลย

บริษัทบ้านเราส่วนใหญ่ requirement ตำแหน่ง Programmer เยอะเว่อร์ครับ

ผมกดเข้าไปดู มีหลายที่มาก ต้องรู้อย่างน้อย 4-5 ภาษา ต้องได้นั่นได้นี่

แต่กับบางที่ ต้องการพื้นแค่ 1-2 ภาษาที่บ.นั้นๆใช้จริงๆ แต่เงินเดือนทั้ง 2 ที่ กลับให้พอๆกัน

ซึ่ง 80% บ.ไทย เป็นอย่างแรกครับ

พวกนี้ไม่เข้าใจเราหรอก

ปัจจุบันนะหรอ เลิกเขียนแล้ว ออกมาทำธุรกิจส่วนตัวรุ่งกว่า

หาคนเก่งจริงๆ ยากนะโปรแกรมเมอร์เนี่ยที่บริษัทผมนี่แผนกไอทีมีหลายสาย สายระบบ สายSap โครงส้ราง ท่าทางแต่ละคนเงินเดือนเยอะๆ ทั้งนั้นส่วนพวกหัวๆ ก็คอยรับงานจากแผนกต่างๆ แล้วแจกงานให้คนในทีมทำ

จากการทำงานกับคนอินเดียจริงๆ บอกเลย ไม่ได้เจ๋งอะไร เป็นพวกขยันมากกว่า ขยันแบบงานถึก
คนไทยเก่งๆก็มีเยอะ ไม่เก่งก็มีเยอะ

ดังนั้นจะมาพูดเหมารวมไม่ได้ว่าปกม.ไทยความสามารถต่ำแต่เรียกร้องเงินเดือนสูงๆ
มีเก่ง มีไม่เก่งปนกันไป

ส่วนตัวผมมองว่าระบบการสอนแม่งไม่ใช่แค่การเรียนโปรแกรมมิ่งนะ แม่งลงลึกถึงพื้นฐานการคิด โลจิก
ซึ่งแม่งเรียนกันตั้งแต่อนุบาล

พวกเรียกร้องเงินเดือนสูงๆ ผมมองว่าไม่ใช่ปัญหา พวกนี้ถึงเวลาโดนตบลงมาหมด ผลงานสะท้อนฝีมืออยู่แล้ว

ปล. เพราะขาดตลาดแรงงานฝีมือ มันเลยช่วยให้คนมีฝีมือเงินเดือนดี เล่นตัวได้