โลกลูกหนังเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) มีมติเอกฉันท์สั่งเพิ่มทีมใน “ฟุตบอลโลก 2026 ” เป็น “48 ทีม” ในรอบสุดท้าย ถือเป็นการสนองแนวทางนโยบายของ จานนี อินฟานติโน ประธานฟีฟ่าคนปัจจุบัน

ไม่ว่าจะมีการกล่าวอ้างถึงเหตุผลใดๆ แต่ที่แน่ๆเหตุผลสำคัญหนีไม่พ้นเรื่องเงินที่ “ฟีฟ่า” จะได้รับแบบมากมายหาศาลกว่า 2.6 หมื่นล้านบาทจากการที่มีทีมเพิ่มเข้ามาอีก 16 ทีมหลังเตะแบบ 32 ทีมมาตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส

ไม่มีใครตอบได้ในตอนนี้หรอกครับว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะส่งผลดีหรือแย่อย่างไร และคงต้องรอความชัดเจนที่แน่นอนก่อนว่าโควตาที่เพิ่มขึ้นจะไปตกที่ทวีปไหน อย่างไรบ้าง

เท่าที่ดูจากแนวทางเบื้องต้นการเพิ่มเป็น 48 ทีมไม่ถือว่าเลวร้ายมากมายนัก ช่วงเวลาแข่งขันไม่ได้ยาวนานหรือห่ำหั่นกันหนักไปกว่าเดิม กำหนดเวลาาอยู่ในช่วง 32 วันเท่าเดิม แต่เกมจะเพิ่มจาก 64 นัดเป็น 80 นัด

ทว่าแต่ละทีมไม่ได้รับภาระที่มากขึ้นแต่อย่างใด หากจะเป็น “แชมป์โลก” ต้องเตะ 7 นัดในรอบสุดท้ายเท่าเดิมอยู่ดี โดยรูปแบบที่ “ฟีฟ่า” วางไว้คือรอบแรกแบ่งเป็น 16 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม เตะคัดเอาทีมอันดับ 1 และ 2 ผ่านเข้าสู่รอบ 32 ทีมต่อไป เท่ากับว่าจะมีทีมที่ได้มาเตะรอบสุดท้ายแค่ 2 เกมอยู่ถึง 16 ทีม

จากนั้นรอบ 32 ทีมสุดท้ายหรือรอบที่ 2 จะเป็นการเริ่มต้นเตะแบบ “น็อกเอาท์” หรือแพ้คัดออกไปจนกระทั่งถึงนัดชิงชนะเลิศ นี่คือแนวทางเบื้องต้นที่ “ฟีฟ่า” กำหนดเอาไว้

แต่อย่างที่บอกสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือเรื่องการจัดสรร “โควตาทีม” ที่เพิ่มขึ้น ถึงตรงนี้ยังไม่รู้ว่าหวยจะไปออกที่ไหนบ้าง แต่ละทวีปจะได้เพิ่มกี่มากน้อยยังไม่มีใครยืนยันตรงนี้

แน่นอนว่านักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ย่อมมีความหวังเพิ่มมากขึ้น เพราะโควตาของเอเชียต้องได้มากกว่าที่ได้ในปัจจุบันที่ “4.5 ทีม” ชัวร์ๆ แต่จะได้เพิ่มอีกเท่าไรคงต้องรอลุ้นกันก่อน

ถ้ามองแง่บวกต้องบอกว่า “ช้างศึก” มีลุ้นมากขึ้นละครับ ตอนนี้นักเตะไทยผ่านเข้ามาถึง ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย เท่ากับว่าเรามาถึงด่านสุดท้ายของทวีปเอเชียแล้ว

หากเอเซียมีโควตาเพิ่มขึ้นโอกาสของทีมชาติไทยย่อมเพิ่มมากขึ้นด้วยอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้อย่าวาดฝันสูงเกินไปต้องพิจารณาความเป็นจริงและดูศักยภาพของทีมชาติไทยด้วย โควตาเพิ่มมากขึ้นจริงแต่ทีมชาติไทยต้องพัฒนามากขึ้นตาม

ชาติอื่นต้องคิดเหมือนไทยกันหมดละครับเพราะต่างมีความหวังที่มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการแข่งขันต้องเข้มข้นไม่แพ้ไปจากเดิม สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเราเองนี่ละครับ ต้องยกระดับก้าวไปสู่ “ท็อปเทน” ของเอเชียแบบเป็น “ขาประจำ” ในทุกทัวนาเมนต์

การวางแผนระยะไกลแล้วลงมือทำอย่างจริงๆจังๆน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ทุกๆอย่างต้องเป็นการพัฒนาที่ถูกต้องถูกทางในทุกองคาพยพของฟุตบอลไทย ไม่ใช่มุ่งที่ “ยอดปลาย” ตรงทีมชาติไทยอย่างเดียว

แต่อย่าได้ลืมแผนงานระยะใกล้ด้วยนะครับไม่ใช่มองไกลเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างมันเป็นสเตปขั้นตอนที่ต่อเนื่องกันอยู่แล้ว ทว่าจากสภาพตอนนี้เป็นห่วงเป้าหมายระยะใกล้อยู่พอสมควร

ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย กลุ่มบี ยังเหลือคิวเตะอีก 5 นัด นักเตะทีมชาติไทยจะประเดิมเกมแรกวันที่ 23 มี.ค.กับ “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุดิอาระเบีย แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังนิ่งไม่มีการขยับเคลื่อนไหว

นับเวลาถอยหลังจากวันนี้ไปเหลือเพียง 2 เดือนเศษเท่านั้นแต่ยังไม่มีความชัดเจนอะไรเลย โดยเฉพาะตำแหน่ง “ผู้ฝึกสอน” ที่ไม่รู้ว่า “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง จะได้ไปต่อหรือเลิกกัน !!!

สัญญาของ “ซิโก้” จะหมดในเดือนหน้าแล้วด้วยซ้ำแต่ทำไมยังไม่สรุปกันเสียที ถึงตรงนี้อยากจะบอก สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ว่าจะเอายังไงต้องรีบว่ากันแล้วครับ คนที่รับผิดชอบทำทีมจะได้วางแผนและเตรียมการกันเสียที

ถ้าให้ “ซิโก้” ทำต่อก็บอกไปเลยจะได้รู้ตัวและทำงานต่อไป แต่ถ้าไม่ให้ทำต่อแล้วคนใหม่จะเข้ามาทำเมื่อไรต้องระบุให้ชัดเจนให้ได้มีเวลาทำการบ้าน ทำงานด้วย ไม่ใช่กั๊กไปกั๊กมาแล้วถึงเวลาจวนตัวมาอ้างสารพัดเหตุผลเพื่อ “แก้ตัว”

ขยับช้า 1 ก้าวในเกมระดับเอเชียก็ยากที่จะไล่ตามชาวบ้านทันนะครับ ไม่จำเป็นต้อง “คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว” ในทุกเรื่องๆ แต่บางเรื่องควรคิดให้ดี คิดให้เร็ว แล้วรีบตัดสินใจ

ทีบางเรื่องละรีบด่วนตัดสินใจจนกลายเป็นเรื่องไม่เป็นเรือง แต่เรื่องสำคัญแบบนี้ละไม่รู้จะยึกยักชักช้าอยู่ทำไม ไม่เข้าใจ !!!!

“บับเบิ้ล”

ไทยมีโอกาสมากขึ้นละ

อีกสิบปี ถ้าเป็นเด็กรุ่นถัดจากรุ่นนี้น่าจะลุ้นยาก ต้องไปลุ้นรุ่นถัดไป

ชอบๆ ทีบางเรื่องละตัดสินใจเร็วจนเป็นเรื่อง

เพิ่มเป็น 48 ทีม ใช่ว่า เราจะได้ไปซ่ะทีเดียว ชาติอื่นๆเค้าก้อมีหวังเหมือนกันหมดครับ

ไม่ใช่ไม่รักทีมชาติเรานะครับ แต่เราเพิ่งจะก้าวเข้ามาสู่รอบคัดเลือ12 ทีมสุดท้ายเอเชีย

บอลรายการใหญ่ๆ เราก้อแทบไม่ค่อยได้เข้าไปเป็นขาประจำ

ชาตินี้ละเว้ย ไม่มีชาติหน้าแน่บอลโลกสำหรับไทย

ต่อให้ 100 ทีมชาติหน้าก้อยังไม่ได้ไป

ได้ไปก็ดี ไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไร ถ้ายังพัฒนาต่อเนื่อง มันต้องมีวันของเรามั่งแหละ
แต่สงสารคนแก่ บางทีอาจอยู่ไม่ทันเห็นบอลไทยไปบอลโลก

ในตอนนี้ท็อป5เรายังไม่ไหว ท็อป10ยังพอลุ้น
อันดับแรกผมว่า ปั้นโค้ชมาก่อนเลย ถ้าโค้ชเก่ง นักเตะจะเก่งมาเป็นโขยง
แต่ถ้าปั้นนักเตะคนเดียว มันก็เก่งได้แค่คนเดียว

พอมีโค้ชเก่งๆ ก็หาทางส่งไปดูงานหรือไปเป็นผู้ช่วยที่ลีคใหญ่ให้ได้ เอาประสบการณ์ตรงนั้น
กลับมาพัฒนาบ้านเรา
โค้ชในยุโรปที่เก่งๆ หลายคนเป็นผู้ช่วยมาก่อนทั้งนั้น...