เจาะลึกรายรับ-รายจ่าย"ผี VS เรือ"ฤดูกาล 2015-16
ขณะที่ทีมของโจเซ่ มูรินโญ่เทรนเนอร์"เดอะ เวิร์สต์ วัน"กำลังประสบปัญหาในสนามแต่"ปีศาจแดง"แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็ได้เปิดเผยตัวเลขที่อาจทำให้แฟนบอลพอยิ้มได้ออกมา
มันเป็นสัปดาห์ที่โชคชะตาต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่าง 2 ทีมดังของเมืองแมนเชสเตอร์เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้คว้าชัยชนะที่น่าจดจำเหนือบาร์เซโลน่า ส่วนยูไนเต็ดกลับปราชัยแบบน่าขายหน้าต่อเฟเนร์บาห์เช่แต่อย่างน้อยแฟนบอลก็มีสิ่งปลอบใจเป็นผลประกอบการด้านการเงินของพวกเขา
ยูไนเต็ดได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าทึ่งของสโมสรแม้จะตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกด้วยน้ำมือของพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นและโวล์ฟส์บวร์ก อีกทั้งยังจบแค่อันดับที่ 5 ในพรีเมียร์ ลีก
สโมสรสร้างรายได้จาก 3 ทางหลักได้แก่แฟนบอล(ในวันแข่งขัน),สปอนเซอร์(เกี่ยวกับการค้า)และทีวี(การถ่ายทอดสด)
ตัวเลขในฤดูกาล 2015-16 แสดงให้เห็นว่ายูไนเต็ดมีอัตราเติบโตของรายได้รวมสูงกว่าซิตี้ถึง 3 เท่าและกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่สร้างรายได้หลัก 500 ล้านปอนด์
ยูไนเต็ดได้ประโยชน์จากการมีสนามใหญ่โดยโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดจุคนดูได้ 75,500 ที่นั่งเปรียบเทียบกับเอติฮัด สเตเดี้ยมที่จุได้เพียง 55,000 ที่นั่งและค่าตั๋วโดยรวมของพวกเขาก็สูงกว่า เมื่อนับรวมแล้วมีแฟนบอลพิเศษ 403,000 คนเข้ามาชมเกมในสนามเหย้าของพวกเขา
อัตราเฉลี่ยค่าตั๋วต่อหนึ่งคนที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดอยู่ที่ 74.52 ปอนด์เทียบกับเอติฮัด สเตเดี้ยมที่ 51.13 ปอนด์ นี่สะท้อนให้เห็นว่ายูไนเต็ดมีแฟนบอลมากมายที่ยินดีจ่ายเงินในราคาสูง ในทางตรงกันข้ามซิตี้ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มฐานแฟนบอลและมีตั๋วปีถูกที่สุดที่ 299 ปอนด์สำหรับเกมพรีเมียร์ ลีกเมื่อเทียบกับตั๋วปีถูกที่สุดของยูไนเต็ดที่ 532 ปอนด์
ในเชิงของรายได้ทางการค้าปี 2016 ยูไนเต็ดได้ประโยชน์จากดีลสปอนเซอร์เสื้อแข่งกับอาดิดาสมูลค่า 75 ล้านปอนด์บวกเพิ่มอีก 53 ล้านปอนด์จากการเป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอกเสื้อของเชฟโรเล็ต สิ่งที่ยูไนเต็ดประสบความสำเร็จมากๆคือการหาสปอนเซอร์จากทั่วโลกโดยรายล่าสุดคือพาร์ทเนอร์ที่่นอนและหมอนซึ่งเพิ่มเติมเข้ามากับอีก 70 ผลิตภัณฑ์ที่้เซ็นสัญญากับสโมสร
เพื่อขับเคลื่อนทางการค้า ยูไนเต็ดได้ออกไปเล่นเกมนอกประเทศถึง 29 แมตช์สำหรับการขยายแบรนด์และทำให้สปอนเซอร์จากต่างแดนมีความสุขตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่ดีทางบัญชีแต่คำถามก็คือมันช่วงพัฒนาของทีมสำหรับช่วงปรี-ซีซั่นในเชิงของความฟิตและการเตรียมทีมเพื่อสู้ศึกฤดูกาลใหม่หรือไม่
การไม่ได้เล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาล 2016-17 ส่งผลเช่นกันเพราะหลายดีลทางการค้ามีการระบุโทษปรับหากยูไนเต็ดไม่ได้เล่นการแข่งขันรายการนี้ซึ่งตามข่าวลือระบุว่าอยู่ที่ 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ตกลงกัน
ด้านซิตี้มีสปอนเซอร์หลักคือสายการบินเอติฮัดที่เป็นสปอนเซอร์ทั้งชุดแข่งและชื่อสนาม แม้จะผ่านเข้ารอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ ลีกและจบอันดับเหนือยูไนเต็ดมนพรีเมียร์ ลีกแต่ซิตี้กลับมารายได้ทางการค้าเพิ่มเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ในส่วนรายได้จากการถ่ายทอดสด ซิตี้ทำรายได้รวมได้มากกว่ายูไนเต็ด อัตราเติบโต 30 เปอร์เซ็นต์ของยูไนเต็ดเกิดจากการลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีกและการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ขณะที่อัตราเติบโต 19 เปอร์เซ็นต์ของซิตี้เกมจากการเข้ารอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ ลีกและได้แชมป์ลีก คัพ
ค่าใช้จ่ายหลักของสโมสรฟุตบอลคือค่าเหนื่อย ยูไนเต็ดลงทุกอย่างหนักกับนักเตะใหม่และการต่อสัญญาฉบับใหม่ให้กับผู้เล่นเก่า นั่นทำให้รายจ่ายเรื่องค่าเหนื่อยของพวกเขาเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์เป็น 232 ล้านปอนด์ซึ่งสูงที่สุดในพรีเมียร์ ลีก ในทางตรงกันข้ามหลังจากลงทุนอย่างหนักมาหลายปีเพื่อดึงดูดผู้เล่นมาเอติฮัด สเตเดี้ยม ค่าเหนื่อยของซิตี้เพิ่มขึ้นเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เป็น 198 ล้านปอนด์เพราะแม้จะเซ็นนักเตะค่าตัวแพงอย่างเควิน เดอ บรอยน์และราฮีม สเตอร์ลิ่งเข้ามาแต่นักเตะหลายคนก็ถูกโละทิ้งเพื่อลดภาระค่าเหนื่อย
การปลดหลุยส์ ฟาน ฮาลตอนสิ้นสุดฤดูกาลทำให้ต้องจ่ายค่าชดเชยให้เขาและทีมงาน 8.4 ล้านปอนด์ โดยรวมแล้วอัตราค่าเหนื่อยเมื่อเทียบกับรายได้ของยูไนเต็ดคิดเป็น 45 เปอร์เซ็นต์ ส่วนซิตี้อยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์
ยูไนเต็ดรายงานผลขาดทุน 9.8 ล้านปอนด์จากการขายนักเตะ โดยหลักมาจากนักเตะค่าตัวสถิติสโมสรคนก่อนอย่างอังเกล ดิ มาเรียที่ตลอดช่วงเวลา 12 เดือนตัวนักเตะเองไม่มีความสุขและไม่ได้ส่งผลดีต่อกำไรขาดทุนของสโมสรอีกด้วย
ในทางตรงกันข้ามซิตี้ทำกำไรจากการขายนักเตะ 20 ล้านปอนด์ โดยหลักมาจากการปล่อยอัลบาโร่ เนเกรโด้ให้บาเลนเซียหลังถูกปล่อยยืมตัวในฤดูกาลก่อนหน้านั้น
จุดหนึ่งที่ซิตี้ได้เปรียบยูไนเต็ดอย่างมากคือการที่พวกเขาไม่ได้กู้ยืมธนาคาร ความเอื้อเฟื้อจากตระกูลมานซูร์ที่ลงทุนไป 1 พันล้านปอนด์นับตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรเมื่อปี 2008 ทำให้พวกเขาจ่ายดอกเบื้อให้ธนาคารเพียงเล็กน้อยในแต่ละปี ขณะที่ยูไนเต็ดยังคงเป็นหนี้สูงถึง 490 ล้านปอนด์ตอนสิ้นสุดฤดูกาล 2015-16 การกู้ยืมนั้นมีดอกเบื้ยสูงสุด 16.75 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าสโมสรจะพยายามต่อรองขอลดลงมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทว่ายูไนเต็ดก็ยังต้องจ่ายดอกเบี้ย 20 ล้านปอนด์ในปี 2016 เปรียบเทียบกับ 35 ล้านปอนด์ในฤดูกาลก่อนหน้านั้น
ซิตี้อาจมีผลงานที่โอนเอนแต่เจ้าของสโมสรจากอาบู ดาบีของพวกเขาดูจะมีกลยุทธ์ระยะยาวในเชิงของการเติบโตของสโมสร
ในโลกฟุตบอลก็อย่างที่เรารู้กันว่าสิ่งต่างๆสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว
ปล. ตัวเลขที่แสดงในชาร์ตมีหน่วยเป็นล้านปอนด์ทั้งหมด
แก้ไขล่าสุดโดย Sir-Oh เมื่อ Sat Nov 05, 2016 15:50, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ