ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 31 Oct 2014
ตอบ: 4252
ที่อยู่: Qarabağ, Azerbaijan
โพสเมื่อ: Sat Oct 22, 2016 11:11 pm
Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’
ขอเตือนว่ายาวมากกกกกกก แต่อ่านเถอะ งานดี

เขาทำตัวดิบและเก็บกดได้ดีกว่าใคร แต่นอกจอแล้วนักแสดงหนุ่มกำลังเรียนรู้วิธีผ่อนคลาย ฟาสเบนเดอร์พูดถึงเพื่อนเก่า การให้อภัย และฉากเปลือย



ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์อาจเป็นหนึ่งในมนุษย์ผู้รู้จักการวางตัวดีที่สุด หรือนักโกหกผู้ปราดเรื่อง “ผมโกหกต่อหน้านักข่าวได้ง่ายมาก” เขาบอกกับฉันเช่นนั้น และยังบอกด้วยว่าเขาเชี่ยวชาญ “ผมต้องเป็นแบบนั้น” แต่เนื่องจากนี่เป็นเพียงอุบายที่ดาราภาพยนตร์คนหนึ่งนำมาใช้ การพูดถึงเรื่องนี้ซ้ำ ๆ คือการย้ำถึงทัศนคติต่อตัวเองซึ่งไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าใดก็เท่านั้น

ฟาสเบนเดอร์มีชื่อเสียงจากการรับบทบาทเป็นบุรุษผู้ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับตัวเองได้ทั้งนั้น ในปี 2008 เขาแสดงนำใน Hunger ผลงานเปิดตัวของผู้กำกับ Steve McQueen ในบท Bobby Sands นักโทษรีพับลิกันผู้อดอาหารประท้วง ต่อมาแม็คควีนก็ให้เขารับบทหนุ่มติดเซ็กซ์ใน Shame ตามมาด้วยเจ้าของแปลงผักสุดซาดิสต์ใน 12 Years A Slave ฟาสเบนเดอร์ปรากฏตัวในภาพยนตร์ Fish Tank และ Inglourious Basterds, รับบท Carl Jung ใน A Dangerous Method, Mr Rochester ใน Jane Eyre และSteve Jobs ในภาพยนตร์ชีวประวัติชื่อตัวละครดังกล่าว เช่นเดียวกับมิวแทนต์ antihero นาม Magneto ในแฟรนไชส์ X-Men และตามมาด้วยบท Macbeth ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าเป็น “Brando แห่งหมู่เกาะบริเตน” ความทุ่มเทของเขานั้นเข้มข้นเสียจนทำให้คนดูรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ดูการแสดง แต่เหมือนแอบส่องชีวิตสุดดิบของมนุษย์คนหนึ่ง สัมผัสแห่งสัญชาตญาณเช่นนี้ทั้งน่าตื่นเต้นและวุ่นวายในเวลาเดียวกัน จนในบางทีเราได้เห็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด

นักแสดงหนุ่มวัย 39 ผู้ได้เข้าชิงรางวัล Oscar สองครั้งในชีวิตผู้นี้มีภาพยนตร์ 3 เรื่องเตรียมลงโรงระหว่างช่วงนี้ไปจนถึงเดือนมกราคม ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภาพยนตร์ที่เขารับหน้าที่อำนวยการสร้างเอง และตลอดเส้นทางอาชีพนี้แทบไม่เคยมีครั้งไหนที่เป็นการตัดสินใจอันผิดพลาด (เขาทำกระทั่งปฏิเสธที่จะชม Jonah Hexภาพยนตร์เหลวเป๋วปี 2010) หรือการปรากฏตัวบนคอลัมน์ซุบซิบดารา ถือเป็นการเดินทางของดาราภาพยนตร์คนหนึ่งที่แทบจะเรียกว่าไร้ที่ติก็ว่าได้ “พระเจ้า ผมรู้!” เขาเห็นด้วย “ผมรู้ครับ มันบ้ามาก แทบไม่อยากเชื่อเลย” เขากล่าวว่าไม่มีดาราที่ยังมีชีวิตอยู่คนไหนที่เขาต้องการจะแลกเปลี่ยนชีวิตด้วย “แต่ก็นั่นแหละ – อย่างที่คุณรู้ ผมไม่อยากเปลี่ยนที่กับใครทั้งนั้น”

ฟาสเบนเดอร์มีงานในภาพยนตร์ 10 เรื่องถ้านับตั้งแต่ 12 Years A Slave และเป็นที่แน่นอนว่าเขาต้องเหนื่อยล้า คุณไม่ต้องเดาหรอก อันที่จริงแล้ว ฉันไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าฉันจะจำเขาได้ เขาสวมกางเกงบานขาสั้นตอนที่เราเจอกันในโรงแรมย่าน Soho หลังจากไปยิมในตอนเช้า ใบหน้ามีหนวดสีแดงรุงรังที่ไม่ได้รับการดูแล ฉันไม่คาดคิดว่าสำเนียงของเขาจะยังอยู่ดีหลังจากชีวิต 20 ปีในลอนดอน และตัวละครสารพันเชื้อชาติที่เขาต้องแปลงสำเนียงเพื่อรับบท แต่เขายังคงต้นกำเนิดไอริชของตัวเองได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เขามีความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุฉบับนักแสดงซึ่งหมายความว่าทำให้ใบหน้าของเขาดูแตกต่างไปตามภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ฉะนั้นมันน่าแปลกใจที่ได้เห็นว่าในชีวิตจริงเขาดูเหมือน Fergal พี่ชายของ Sharon ตัวละครใน Catastrophe ซีรีย์บนช่อง 4


เรากำลังจะได้เห็นเขาใน The Light Between Oceans ภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายอันยอดเยี่ยมปี 2012 ดำเนินเรื่องในเกาะร้างจากออสเตรเลียตะวันตกยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฟาสเบนเดอร์รับบทเป็น Tom ทหารผ่านศึกหนุ่มผู้เงียบขรึมซึ่งมีความสุขกับชีวิตอันโดดเดี่ยว จนกระทั่งได้ตกหลุมรักและแต่งงานกับ Isabel หญิงสาววัยเยาว์จากตัวเมือง ทั้งคู่ต้องประสบกับความทุกข์เมื่อเกิดการแท้งลูกถึงสองครั้งติดต่อกัน และเมื่อเรืออับปางพร้อมด้วยร่างของชายหนุ่มผู้ไร้ลมหายใจและเด็กน้อยร่ำไห้มาปรากฏบนชายฝั่ง อิซาเบลขออนุญาตจากทอมให้เธอเลี้ยงดูเด็กหญิงดังกล่าว แม้จะขัดกับสัญชาตญาณตนเองก็ตาม เขาตกลงและตัดสินใจเลี้ยงเด็กน้อยราวกับเป็นลูกในไส้ “สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวก็คือนี่ไม่ใช่หนังของคนดีแสนบริสุทธิ์” ฟาสเบนเดอร์บอก “แบบ ไม่ใช่ว่า ‘นี่ตัวโกงนะ ส่วนนี่อ่ะพระเอก’ นั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันไม่เหมือนกับสิ่งที่คุณคิดจะว่าได้ว่า ‘พวกเขาคิดบ้าอะไรกัน? ตัวละครพวกนี้บ้าไปแล้ว’”



แน่นอนว่าตัวละครทอมไม่ได้เลวร้ายหรือโรคจิตแบบที่ฟาสเบนเดอร์เคยเล่นมา เพราะฉะนั้นฉันจึงสงสัยว่าเขารับบทนี้ได้อย่างไร “ตอนผมอ่านบท ผมคิดว่า ‘พระเจ้า หมอนี่คนดีสุด ๆ’ เขามาจากอีกยุคหนึ่ง เขาไม่พูดมาก ความซื่อสัตย์ของเขานั้นแรงกล้า เช่นเดียวกับหลักการต่าง ๆ ผมอยากจะคิดว่าถ้าเป็นผม ผมคงทำแบบเขาเช่นกัน”

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทอมต้องพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เราต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง” แม้มันจะทำให้คนที่คุณรักเจ็บปวดก็ตาม “ผมคิดว่าคุณต้องซื่อตรงต่อตัวเองในชีวิตจริง” ฟาสเบนเดอร์บอก “เข็มทิศคุณธรรมของคุณคืออะไร? คุณต้องซื่อตรงต่อสิ่งนั้น ไม่ว่าเข็มทิศของคนที่คุณรักจะว่าอย่างไรก็ตาม เพราะเราล้วนเป็นปัจเจก คุณสามารถอยู่ร่วมกันกับคนอื่นและรักคนอื่นได้ แต่ผมคิดว่าถ้าเราซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เราจะรู้ว่าตัวตนของเราเป็นยังไง อะไรที่เข้ากับเราได้ และอะไรที่ไม่”

ฟาสเบนเดอร์หยุดไปเมื่อฉันถามว่าการตัดสินใจโดยใช้หลักคุณธรรมอะไรที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตที่เขาเคยเผชิญมา “โอ้ ชิบหายล่ะ” เขาเงียบไป 10 วินาที “ผมไม่รู้แฮะ น่าจะหลายเลยนะครับ ผมว่า ขอคิดก่อน” เขาหยุดอีกครั้ง “ของคุณล่ะคืออะไร? ผมอาจจะได้ความคิดอะไรบ้างนะ”

เขาทำแบบนี้บ่อย โยนคำถามกลับมาที่ฉันหรือคิดคำถามใหม่ให้เสียเลย ถือเป็นคุณสมบัติที่น่าชื่นชอบสำหรับคน ๆ หนึ่ง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เรามองหาในตัวู้ให้สัมภาษณ์ และเขามีวิธีเบนความสนใจจากสิ่งที่เขาไม่ต้องการพูด ฉันบอกความท้าทายเรื่องบาปบุญต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยเจอมาด้วยความหวังอันสูงสุด แต่เมื่อถึงตาเขา เขาให้เพียงรอยยิ้มเชิงขอโทษ “ผมระวังตัวเองสุด ๆ ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ผมขอไม่พูดนะครับ”


อีกหนึ่งอารมณ์หลักของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการให้อภัย ฟาสเบนเดอร์รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องพูดถึงจุดยืนของตัวเองในเรื่องนี้ “ก็นะ มีอยู่ทางเดียวที่จะไปต่อได้ ผมเชื่อเรื่องนั้นครับ สำหรับคน ๆ หนึ่งที่ต้องยกโทษให้แล้ว แน่นอนว่าเรื่องนั้นสำคัญกว่าคนที่ทำผิด มีประโยคเด็ด ๆ อยู่หนึ่งในภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า คุณแค่ต้องให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ทำเช่นนั้น คุณต้องแบกรับและโกรธแค้นกับมันไปตลอด”



เขาหยุดไปชั่วขณะ “แต่พอผมต้องมาคิดจริง ๆ แล้ว ตอนเช้านี้ ผมดันไปนั่งดูคลิปออนไลน์คลิปหนึ่ง ผมไม่รู้นะว่าไปดูได้ยังไง แต่เรื่องก็คือมีเด็กผู้หญิง 5 คนรุมกระทืบเด็กสาวคนหนึ่ง – เด็กวัยรุ่นครับ - แล้วผมก็คิดว่า โอ้พระเจ้า นี่โหดสุด ๆ แล้วคลิปนั้นก็พาผมไปอีกวิดีโอหนึ่งที่เด็กผู้หญิงวัย 15 คนนี้อยู่ในร้านแม็คโดนัลด์ที่นิวยอร์ก ถูกเตะจมดิน คนพวกนั้นเหยียบหัวแล้วทึ้งผมเธอ มีประมาณ 5 หรือ 6 คนนี่แหละ ผมก็คิด ‘พระเจ้า ถ้าผมเป็นพ่อของเด็กคนนั้นนี่ ผมไม่รู้เลยนะว่าจะให้อภัยเรื่องนี้ได้หรือเปล่า’ เพราะผมนั่งดูคลิปนั้น ไม่ใช่ในฐานะผู้ปกครอง แล้วผมก็ได้แต่คิด พระเจ้า เด็กพวกนี้เลวสุด ๆ”

เมื่อครั้งที่ฟาสเบนเดอร์ยังเป็นวัยรุ่น เขาปล่อยให้ทุกสิ่งมีอิทธิพลกับตัวเอง “ผมเป็นคนขี้กังวลเกินเหตุครับ ผมก็จะนั่งเฉย ๆ กังวลไปเรื่อย” เกี่ยวกับอะไรน่ะหรือ? “อะไรก็ได้ครับ” โรคเอดส์? สงครามนิวเคลียร์ “โอ ใช่เลย” จะไปทำใครท้อง? “ครับ ใช่อีก” สอบตก? “แน่นอน แล้วก็เรื่องสิวด้วยครับ ผมมีสิวเยอะมาก เพราะฉะนั้นก็ใช่ครับ แล้วผมก็จะนั่ง บางทีก็ ‘ทำไมผมไม่กังวลเกี่ยวกับอะไรเลยเนี่ย – ทีนี้ผมควรจะห่วงเรื่องอะไรดี?’” เขาหัวเราะและส่ายศีรษะ


“แต่ผมพยายามหนักมากนะที่จะไม่ทำตัวแบบนั้น ผมไม่พะวงกับสิ่งที่ผมควบคุมไม่ได้แล้ว ผมไม่ได้ใช้เวลาไปนึกถึงอดีต เพราะผมไม่คิดว่ามันไร้ประโยชน์ มันก็มีความผิดพลาดต่าง ๆ ที่เคยทำ และบางที หลัก ๆ มันก็เป็นแค่ประสบการณ์ สิ่งที่กวนใจคุณ ซึ่งคุณไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยน พวกนั้นไม่มีอะไรเลยครับ แล้วถ้าคุณไม่ระวังพอ คุณอาจจะเริ่มติดใจกับความทุกข์ทรมานในการเอาแต่หมกมุ่นและความเกลียดชังตัวเอง สิ่งพวกนี้จะกลายเป็นแบบแผนในชีวิตประจำวันที่คุณอาจจะคุ้นชิน เพราะมันจะลายเป็นนิสัย ผมเรียนรู้เรื่องพวกนั้นตอนถ่ายเรื่อง Shame – ว่าแบบแผนพวกนั้นกลายเป็นเพื่อนเยียวยาคุณ แม้พวกนั้นแม่งจะฆ่าคุณก็ตาม”



ร่องรอยแห่งอารมณ์โกรธที่ฉันได้เห็นครู่หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อฉันถามเขาว่ารู้สึกอย่างไรที่บางทีกลายเป็นวัตถุทางเพศหลัง Shame ได้ออกฉายไปแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้เผยให้เห็นฉากเปลือยทั้งตัวของฟาสเบนเดอร์ซึ่งผู้ชมกลายเป็นว่าคุ้นชิน และก่อให้เกิดปรากฏการณ์

“ก็ ผมเดานะว่าบางครั้งผมจะแบบ ‘เออ รู้นะว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าผมโชว์ของสงวนตัวเอง’ นักข่าวคนหนึ่งเคยเริ่มสัมภาษณ์ผมด้วยคำถาม ‘รู้สึกอย่างไรบ้างคะที่ของสงวนใหญ่ขนาดนั้น? นั่นคือสิ่งแรกที่เธอพูดกับผมเลยครับ แล้วต่อมาเธอก็บอกว่าผมโปรยเสน่ห์ใส่เธอในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น โคตรไร้สาระเลย คุณรู้นะ การสัมภาษณ์ครั้งนั้นมันผิดไปหมด’” เขาดูหงุดหงิดแต่พองาม ต่อจากนั้นจึงยักไหล่

“แต่คิดอีกที นั่นแหละ ข่าวจะขายได้ดีกว่าถ้าผมถูกมองเป็นอย่างนั้นมากกว่าผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สนใจแล้วไม่ได้คิดอะไรกับเธอทางนั้นเลย ฉะนั้นผมเข้าใจนะ ผมว่าในตอนนั้นผมควรจะจริงจังกับเรื่องนั้นมากกว่านี้ แม่ของผมพูดตอนเราดูหนังอยู่เสมอว่า ‘โอ้ว ดูสิ มาอีกแล้ว ผู้หญิงเอาแต่เล่นฉากโป๊ ส่วนผู้ชายก็ยังอยู่ในสภาพมิดชิดเรียบร้อย’” เขายิ้ม “เพราะฉะนั้นผมก็เลย นี่สำหรับแม่นะครับ”

พ่อแม่ของฟาสเบนเดอร์ไม่ได้เห็นด้วยนักเมื่อเขาประกาศว่าอยากเป็นนักแสดง เขาเกิดในไฮเดลเบิร์ก เยอรมันปี 1977 พ่อของเขาเป็นคนเยอรมัน นั่นอธิบายเรื่องชื่อได้ - แต่เมื่อเขาอายุได้สองขวบ ครอบครัวก็ได้ย้ายไปที่เคาน์ตี้ เคอร์รี่ซึ่งได้เปิดร้านอาหารที่นั่น เมื่อถึงวัย 16 ฟาสเบนเดอร์เริ่มทำงานช่วย และใช้เวลาว่างไปกับการแสดง

“พวกเขาอยากให้ผมเข้ามหาวิทยาลัยครับ เพราะตอนนั้นมันคือช่วงเวลาที่ใครที่ได้เรียนสูง ๆ คือมีความมั่นคง และจะได้งานดี ๆ” พี่สาวของฟาสเบนเดอร์ได้ปริญญาและทำอาชีพนักจิตวิทยาประสาท แต่เขารู้ตัวดีว่าวิชาการไม่ใช่ที่ของตัวเอง แล้วเขาจึงบอกพ่อแม่ว่าเขาต้องการแสดง “พวกท่านบอกว่า ‘ไปเข้ามหา’ลัยก่อน’ แล้วผมเลยแบบ ‘ไม่ ผมจะไม่ยอมเสียเงินแล้วก็เสียเวลา ผมจะทำมันตอนนี้เลย’” การโต้เถียงยังคงต่อไปเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงอายุ 17 เขาได้กำกับงานสร้างละครเวที Reservoir Dogs ในฉบับตัวเอง “พวกท่านเห็นผมจัดการละครเรื่องนั้นแล้วก็คิดกันว่า ‘เฮ้ย มันเอาจริงว่ะ’ เมื่อพวกท่านเห็นว่าผมตัดสินใจว่าผมจะทำอะไรแล้ว ผมต้องบอกว่าพวกท่านสนับสนุนผมมาตลอดหลังจากนั้น” 

ความสำเร็จดูเหมือนจะได้มาแทบเท้าโดยไม่ต้องพยายามในตอนแรก เขาสามารถเข้าโรงเรียนการละครในลอนดอนได้ และก่อนจะมีโอกาสจบการศึกษาดีก็ได้เอเยนต์และบทใน Band of Brothers มินิซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ Steven Spielberg และหลังจากนั้น… ไม่มีอะไรเลย ระยะเวลาสองปีในลอส แอนเจลิส ฟาสเบนเดอร์ทำงานนับเวลาได้ทั้งหมด 6 อาทิตย์ถ้วน แล้วจึงกลับลอนดอนน ซึ่งกลายเป็นดูแลบาร์ เป็นครั้งคราวที่เขาจะได้ใจชื้นจากบทใน Holby หรือโฆษณาโทรทัศน์ แม้จะไม่เต็มใจ เขาต้องบังคับให้มี “การสนทนากับตัวเอง ซึ่งผมต้องพูดให้ได้ว่า ผมทำอะไรได้อีกบ้าง?” การเปิดร้านอาหารดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา และ “มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำ” และแม้จะมีเรื่องต่าง ๆ ก็ตาม เขากล่าวว่าหลายปีที่ว่างงานนั้น “ก็ดีนะ จริง ๆ นะครับ มีนักแสดงเก่ง ๆ หลายคนเลยที่ต้องอยู่จุดนี้ในวัย 40 หลายคนเลยล่ะ ผมแม่งโคตรโชคดี ผมว่านะ ผมก็แค่เคาะประตูไปเรื่อย - แล้วพอมีโอกาสเมื่อไหร่ ผมจะคว้าหมับไว้เลย”

โอกาสนั้นมากับ Hunger ภายใต้การกำกับของ McQueen ฟาสเบนเดอร์สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะนักแสดงชายผู้ชาญฉลาดหาตัวจับยาก แต่เขาปฏิเสธ “ผมไม่ใช่คนประเภทฉลาดครับ ผมหมายความว่าผมไม่ได้หัววิชาการดี ผมไม่คิดว่าตัวเองฉลาดนะ ผมก็แค่มี - ถ้ามีจริง ๆ นะ ผมไม่รู้อ่ะ - สัญชาตญาณดี ผมทำอะไรตามสัญชาตญาณตัวเองมาก ๆ ครับ แล้วผมก็เดาว่าผมคิดอะไรง่าย ๆ นะ”

ฉันขอให้เขาอธิบาย “เอ่อ ผมก็แค่คิดว่า ‘โอ้ ตัวละครต้องทำแบบนี้เพราะเขามีความซับซ้อนในตัวเองซึ่งเป็นจุดด้อย เพราะฉะนั้นเขาเลยต้องทำตัวซาดิสท์ใส่คนอื่น’ หรืออะไรก็ตามแต่ นั่นเป็นตัวอย่างแบบหยาบ ๆ เลยนะครับ แต่ผมก็แค่ทำอะไรให้ง่าย ๆ ถ้าผมถึงเหตุผลในสิ่งเหล่านั้นได้ ผมก็จะเอามาประยุกต์กับตัวเอง แล้วก็แค่นั้นจริง ๆ แหละครับ แต่เมื่อมองออกไปจะมีนักแสดงฉลาด ๆ มากมาย ผมบอกเลย ผมก็แค่คิดว่าอะไรที่เรียกว่าไม่ฉลาดก็คือ เรากลายเป็นว่าเอาแต่พูดเรื่องตัวเองใหญ่โต แล้วนั่นก็กลายเป็นน่าเบื่อ แล้วก็ไม่ฉลาด แล้วก็ไม่น่าสนใจ นั่นคืออันตรายของงานครับ เพราะสิ่งที่ต้องคิดถึงเกี่ยวกับตัวละครน่ะมันเยอะ ต้องมาคิดถึงตัวเองอีก เพราะฉะนั้นใคร ๆ ก็สามารถตกหลุมพรางนั่นได้ง่าย”



เป็นเรื่องจริงเลยที่นักข่าวไม่ถามช่างประปาว่าพวกเขาซ่อมหม้อต้มอย่างไร “ไม่ แล้วพวกเขาก็ไม่พูดกับช่างประปาว่า ‘โอ ต้องเป็นงานที่ยากมากเลย’ ถึงอย่างนั้นคนเหล่านั้นก็ยังต้องทำงานหนักหลายชั่วโมงอยู่ทุกวัน”

ถ้าฟาสเบนเดอร์หวังจะค้านเรื่องความฉลาดของเขาล่ะก็ นี่ไม่ค่อยช่วยหรอก มันมีแต่ทำให้ฉันงงหนักกว่าเดิมถึงแรงดึงดูดของบทบล็อกบัสเตอร์ในหนังแอ็คชั่นอย่าง X-Men ที่มีต่อเขา ทำไมใครที่สามารถแสดงนำในภาพยนตร์อย่าง The Light Between Oceans ได้กลับอยากเล่นเป็นมิวแทนต์จากการ์ตูน? เขาดูเหมือนว่าจะยืนยันสิ่งที่ฉันเคยสันนิษฐานไว้ นั่นคือถ้ามีวิธีใดที่จะยึดสถานะนักแสดงเกรดเอบทบ็อกซ์ออฟฟิศและหาเงินได้โดยไม่ต้องพึ่งบทพวกนั้น เขาทำแน่ เมื่อเขาตอบ ท่าทางของเขาดูลำบากใจอยู่เบา ๆ “เอ่อ คุณก็ต้องทำงานให้เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าน่ะครับ”

ต่อจากนั้นเขาจึงรวบรวมความคิดของตัวเองแล้วพูดถึงสิ่งดี ๆ เกี่ยวกับว่ามันสนุกขนาดไหนที่ได้ทำ X-Men – “อ้อ แล้ว Prometheus ก็สุด ๆ ไปเลยครับ” – และมิตรสหายที่เขาได้มาจากนักแสดงร่วม “สิ่งที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับหนังบิ๊ก ๆ ก็คือคุณจะมีคนเยอะมาก - คุณสามารถมีเบื้องหลัง 300 คนได้ในฉาก – คนเหล่านั้นที่รวมตัวและทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในตอนท้าย นั่นน่าพอใจมากครับ สิ่งพวกนั้นยากมากกว่าจะทำได้ ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น มันอาจดูเหมือนง่ายเมื่อเราเห็นตอนเสร็จแล้วก็พูดแบบ ‘โอ๊ย พระเจ้า นี่หนังบล็อกบัสเตอร์พร้อมฉากระเบิดตูมตามอีกเรื่องล่ะสิ’ แต่พวกนี้มันทำยากนะคุณ” แต่สิ่งที่มีความหมายที่สุดจริง ๆ อย่างไรก็ตาม คือความยินดีที่เขาพูดถึงเมื่อได้เดินทางไปรอบโลกและพบกับผู้คนซึ่งถูกตรึงใจและสนุกไปกับภาพยนตร์เหล่านั้น “นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่โรงภาพยนตร์จะให้ได้ครับ”



กระบวนการต่าง ๆ ใน X-Men ทำให้ฟาสเบนเดอร์ได้มีโอกาสตั้งบริษัทโปรดักชั่นเป็นของตัวเอง คือ DMC Film ซึ่งได้เติมเต็มความฝันที่เขามีมาตั้งแต่เปิดตัวใน Reservoir Dogs เมื่อ 17 ขวบในการเป็นโปรดิวเซอร์ เขาปรากฏตัวในภาพยนตร์ Tresspass Against Us ที่จะมาในฤดูใบไม้ร่วงนี้ มีการอำนวยการสร้างร่วมกับ DMC และหนังใหญ่เรื่องแรกของบริษัทคือ Assassin’s Creed จะลงโรงวันที่ 1 มกราคมนี้ นำแสดงโดยฟาสเบนเดอร์ ประกบกับ Marion Cotillard ดาราร่วมจาก Macbeth ถ้าเป็น 8 ปีก่อนหน้า เขาคงทำไม่ได้แม้แต่ได้เล่นเรื่องนี้ อะไรคือสิ่งเกินเอื้อมที่เขาต้องการอีก? “ผมอยากมีโอกาสลองกำกับนะครับ” เขาตอบอย่างนุ่มนวล “เราจะได้เห็นกัน ก็นะ ผมไม่อยากให้ตัวเองพูดมาแล้วไม่ได้ทำเลย แต่ผมอยากลองแล้วก็อยากทำนะ”

เขายอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ คือการได้พัก เขาอ้างว่าตัวเองนั้น “มีพรสวรรค์ในการไม่ทำอะไรไปวัน ๆ” และต้องเอาทีวีออกไปเมื่อ 10 ปีก่อนเพราะ “กลายเป็นผมเอาแต่ดูนู่นนี่ – ผมจะดูโทรทัศน์ช่องศาสนาตอนตีหนึ่ง ผมดูอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าเอามันไปทิ้งซะเลยก็แล้วกัน” เขายังคงอยู่ในแฟลตเดิมที่แฮกนีย์ซึ่งซื้อมาเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ต้องการย้ายถิ่นและกำลังตัดสินใจเกี่วกับความคิดที่จะไปแถบชนบท เขาเริ่มโต้คลื่นเมื่อสี่ปีก่อน และใช้เวลาว่างไปกับสายน้ำ แต่ไม่ต้องการไปแอลเอเพราะเป็น “ชุมชนอุตสาหกรรม” เกินไป เขาพิจารณาซาน ฟราสซิสโก และออสติน หรือนิว ออร์ลีนส์ “แต่ผมชอบยุโรปนะ ผมมีความสุขกับยุโรปจริง ๆ”

เมื่อมองว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในสองทวีป มันชัดเจนว่าความคลุมเครือของเขาเป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัวมากกว่าความไม่แน่นอน เขาไม่อยากบอกด้วยซ้ำว่าเขาไปเซิร์ฟที่ไหน เขายืนหยัดว่าชื่อเสียงไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนไปอย่างจัง เขายังคงสนิทกับเพื่อนที่โตมาด้วยกัน และมีเพื่อนไอริชมากกว่าใครในลอนดอน แต่ที่น่าสนใจคือเขาบอกว่าเขา “มีการพัฒนา” ความสัมพันธ์กับผองเพื่อนในวัย 30 ของตัวเอง หนึ่งปีก่อนที่ Hunger จะได้ออกฉาย ฉันเดาว่าเขารู้แล้วล่ะว่าฐานะของเขากำลังจะเปลี่ยนไป

เขามีเพื่อนคนดัง “อยู่บ้าง” แต่คนเหล่านั้นจะไม่ใช่ท็อปไฟฟ์ “ผมคิดอยู่เสมอนะครับว่าถ้าคุณมีเพื่อน 5 คนที่สามารถวางใจได้แน่ ๆ นั่นถือว่าเยอะเลย และแน่นอนว่าผมมี” เขาสามารถเดินออกจากโรงแรมได้โดยปราศจากคนแปลกหน้ากรี๊ดใส่ “แล้วผมก็เดินถนนไปเรื่อย บางครั้งผมขึ้นรถบัสนะ”



เขาดูน่าเชื่อถือมากเสียจนฉันพร้อมจะเคลิ้มในชีวิตธรรมดา ไร้ชื่ออันแสนวิเศษนี้ จนกระทั่งฉันถามว่าเขาถูกทักบ่อยแค่ไหน “ก็ขึ้นอยู่กับว่าผมยืนอยู่นิ่ง ๆ มั้ย บอกระยะทางผมมาสิ จะให้ผมเดินไปไหนล่ะ?” ฉันแนะให้จินตนาการตัวเองเดินออกไปจากโรงแรม หยุดที่แผงขายหนังสือพิมพ์ระหว่างทางไปโซโฮ แล้วจึงเดินต่อ แต่ก่อนที่เขาจะพาฉันไปถึงอ็อกซ์ฟอร์ด เซอร์คัส ซึ่งเป็นระยะทางน้อยกว่าหนึ่งไมล์ เขาบอกว่า “โอเค ผมคงถูกหยุดประมาณสามหรือสี่ครั้งแหละ” นั่นมากโขนะ! เขาดูอาย ก่อนจะรีบกลับคำ – “แต่ มันก็อาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้นะ” - ราวกับกังวลว่าเขากำลังโอ่อยู่

หนึ่งในวิธีที่เขาสามารถคงความเป็นส่วนตัวได้คือการเก็บเรื่องรักไว้หลังกล้อง ในอดีตเขาถูกคาดว่าจะเกี่ยวข้องกับนักแสดงสาว Zoe Kravitz และ Nicole Beharie แต่เขาอยู่ใต้ความสนใจในเรื่องนี้แล้วเมื่อควงกับ Alicia Vikander นักแสดงสาวเลือดสวีเดนร่วมจอใน The Light Between Oceans พวกเขาจุดประกายให้คู่รักบนจอเงิน และเขายอมรับอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “ผมว่ามันก็คงส่งผ่านต่อได้ครับ ใช่ แน่นอนว่าความเข้าคู่เป็นอะไรที่สัมผัสได้” ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจทำให้ฉากเซ็กซ์ดูน่าอึดอัดน้อยลง เขาเห็นด้วยในเรื่องนั้น แต่ทุกพยางค์ที่เปล่งออกมานั้นดึงให้เป็นเรื่องของเขาเพียว ๆ มากขึ้น ถ้าคอลัมน์ซุบซิบต้องการ Brangelina คู่ใหม่ พวกเขาต้องผิดหวังแล้วล่ะ

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคงความสบาย ๆ ไว้เมื่อต้องห่วงความเป็นส่วนตัวของตัวเองถึงขนาดนี้ ฉันสงสัยว่าวิถีไม่แบ่งชนชั้นของไอริชคงช่วยได้ และในครั้งนั้น เขาเห็นด้วย “ผมยังมองตัวเองว่าเป็นไอริชนะครับ ใช่ ใช่ และแน่นอนว่าผมเป็นคนยุโรป” หลังจาก 20 ปีในลอนดอน เขารู้สึกว่าส่วนหนึ่งของตัวเองเป็นบริติชไหม? “ผมไม่มีวันพิจารณาตัวเองเป็นบริติชแน่” เขาบอกอย่างแน่วแน่ เขาจะว่าอะไรไหมหากสื่อของเราจะอ้างเขาว่าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ? เขาหัวเราะ “ก็นะ พวกเขาคงเอาผมไปเอี่ยวถ้าผมทำงานดี แต่ถ้าไม่ล่ะก็ ผมได้เป็นคนไอริชล่ะ”

CREDIT https://www.theguardian.com/film/2016/oct/22/michael-fassbender-worrywart-work-on-that

I SUPPORT CHELSEA & BARCELONA.
เข้าร่วม: 27 Jan 2015
ตอบ: 7523
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Oct 22, 2016 11:44 pm
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
ไม่รู้จัก
0
0
เข้าร่วม: 31 Oct 2014
ตอบ: 16388
ที่อยู่: แถวๆนี้แหละครับ
โพสเมื่อ: Sat Oct 22, 2016 11:44 pm
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]

0
0
เข้าร่วม: 11 Feb 2016
ตอบ: 25346
ที่อยู่: ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โลก เข้าร่วม: 13 Feb 2005
โพสเมื่อ: Sat Oct 22, 2016 11:49 pm
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
ยาวจังครับ
0
0
เข้าร่วม: 31 Oct 2014
ตอบ: 4252
ที่อยู่: Qarabağ, Azerbaijan
โพสเมื่อ: Sat Oct 22, 2016 11:53 pm
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
deawdai1412 พิมพ์ว่า:
ไม่รู้จัก  


Grand Opening ขนาดนี้ ไม่รู้จักก็บ้าแล้ว
0
0

I SUPPORT CHELSEA & BARCELONA.
เข้าร่วม: 29 Jan 2011
ตอบ: 16993
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 12:05 am
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
พี่หลามแกต้องเปลี่ยนแนวมั่ง เล่นแต่ดราม่าหนักๆทั้งนั้น พวกตัวละครมีปมทั้งนั้นงานแก ขนาด Frank ยังมีปม
ต้องขยับแบบทอม ฮาร์ดี้ เล่นหลากหลายหน่อยจะได้น่าจดจำ
เข้าร่วม: 28 Aug 2009
ตอบ: 389
ที่อยู่: Carrara, Italy & Lisbon, Portugal [Former : Old board's Designer's Room]
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 12:49 am
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
ณ ตอนนี้รอให้ถึง 8 ธันวาไม่ไหวละ

จะได้ดู The Light Between Oceans ซะที อ่านหนังสือรอจนพรุนแหล่วววว
0
0
* ซัลวาดอร์ วีลาร์ บรัมกรัมป์ ซูบรัล :P ♥
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 53271
ที่อยู่: สเปอร์ส&ชมรมคนรักหนัง&เนย
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 8:18 am
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
สรุปสั้นๆ ก็แค่มู้อวย
0
0
เข้าร่วม: 11 Jul 2010
ตอบ: 36353
ที่อยู่: DD จงเจริ้ญ!!!
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 10:20 am
[RE]Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’
ยาวไปไม่อ่าน
0
0
เข้าร่วม: 31 Oct 2014
ตอบ: 4252
ที่อยู่: Qarabağ, Azerbaijan
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 10:26 am
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
toktakkk พิมพ์ว่า:
พี่หลามแกต้องเปลี่ยนแนวมั่ง เล่นแต่ดราม่าหนักๆทั้งนั้น พวกตัวละครมีปมทั้งนั้นงานแก ขนาด Frank ยังมีปม
ต้องขยับแบบทอม ฮาร์ดี้ เล่นหลากหลายหน่อยจะได้น่าจดจำ  


นั่นสิท่าน เรื่อง Frank นี่ช็อกไปเลย นึกว่าแนวตลก ชิวๆ

แต่ที่แน่ๆ บทโรแมนติก-คอมเมดี้ไม่ได้กินแก เหมือนเคยพูดกะนักข่าวประมาณนี้ อดมโนว่าตัวเองเป็นนางเอกเลย
0
0

I SUPPORT CHELSEA & BARCELONA.
เข้าร่วม: 31 Oct 2014
ตอบ: 4252
ที่อยู่: Qarabağ, Azerbaijan
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 10:28 am
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
kalakasong พิมพ์ว่า:
สรุปสั้นๆ ก็แค่มู้อวย  


อวยไร ความจริงล้วนๆ

I SUPPORT CHELSEA & BARCELONA.
เข้าร่วม: 31 Oct 2014
ตอบ: 4252
ที่อยู่: Qarabağ, Azerbaijan
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 10:28 am
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
Barcelonistu พิมพ์ว่า:
ยาวไปไม่อ่าน  


อ่านหน่อยเถอะพี่ตู้ เหนื่อยพิมพ์
0
0

I SUPPORT CHELSEA & BARCELONA.
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 53271
ที่อยู่: สเปอร์ส&ชมรมคนรักหนัง&เนย
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 11:23 am
[RE: Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’]
xMockingbird พิมพ์ว่า:
kalakasong พิมพ์ว่า:
สรุปสั้นๆ ก็แค่มู้อวย  


อวยไร ความจริงล้วนๆ  


บัยส์ ไมเคิล
0
0
เข้าร่วม: 11 Jul 2010
ตอบ: 36353
ที่อยู่: DD จงเจริ้ญ!!!
โพสเมื่อ: Sun Oct 23, 2016 12:38 pm
[RE]Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’
xMockingbird พิมพ์ว่า:
Barcelonistu พิมพ์ว่า:
ยาวไปไม่อ่าน  


อ่านหน่อยเถอะพี่ตู้ เหนื่อยพิมพ์  

ก๊อได้
0
0