fairness in football เมื่อเราเท่าเทียมกัน
น่าจะมีหลายคนเคยคิดนะครับว่า ตัวเลขที่นักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ได้รับจากการทำงานแค่สัปดาห์เดียวนั้น บางครั้งมันอาจจะมากกว่าเงินที่เราสามารถหามาได้ทั้งชีวิตด้วยซ้ำไป
มีรายงานการศึกษาฉบับหนึ่งระบุครับว่านักฟุ[/
ตบอลของสโมสรฟุตบอลระดับท็อปในกรุงลอนดอนนั้น ได้รับเงินจากการทำงานมากถึงชั่วโมงละ 9,000 ปอนด์ (ประมาณ 450,000 บาท) ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเงินที่สตาฟฟ์ในตำแหน่งระดับล่างที่สุดได้รับถึง 1,400 เท่า
หากเปรียบเป็นรายได้ครึ่งวันของนักฟุตบอล นั่นจะเท่ากับรายได้ขั้นต่ำที่สตาฟฟ์ในแบบทำงานเต็มเวลา (ฟูลไทม์) ได้รับตลอดทั้งปี
และหากเปรียบเทียบเป็นรายได้ 1 สัปดาห์ของนักฟุตบอล มันหมายถึงการที่พนักงานทำความสะอาด หรือพนักงานรักษาความปลอดภัยของสโมสรฟุตบอล ต้องทำงานมากถึง 13 ปี (โดยยังไม่คิดเรื่องรายจ่ายต่างๆ)
ยกตัวอย่างเช่น ทีมเชลซี จ่ายเงินให้กับ เอเดน อาซาร์, ดีเอโก้ คอสต้า และเซสก์ ฟาเบรกาส เป็นจำนวน 180,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ในขณะที่ อาร์เซนอล จ่ายเงินให้กับ เมซุต โอซิล และอเล็กซิส ซานเชซ 180,000 ปอนด์ และ 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรเชลซี มีทรัพย์สินรวมกันกว่า 10,000 ล้านปอนด์ (500,000 ล้านบาท) แต่กลับจ่ายเงินจ้างพนักงานแค่ชั่วโมงละ 6.50 ปอนด์
มันจะเป็นการดีกว่าไหมหากเขาเหล่านั้นจะแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งนำมาให้กับพนักงานของสโมสรเหล่านั้น? เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ได้จากการสำรวจความคิดเห็นของแฟนฟุตบอลจำนวนกว่า 84 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องการให้สโมสรดูแลค่าครองชีพที่จำเป็นให้แก่สตาฟฟ์
ที่ประเทศอังกฤษ จึงมีการรณรงค์ให้ผู้คนร่วมลงชื่อในแคมเปญที่เรียกว่า Fairness in Football เพื่อให้สโมสรฟุตบอลในกรุงลอนดอน (ที่เริ่มจากลอนดอน เพราะค่าครองชีพในลอนดอนสูงมาก)แบ่งปันรายได้ส่วนหนึ่งเพื่อการนี้ครับ
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เพราะเรื่องของงานและรายได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถและโอกาสของแต่ละบุคคล จะให้ก็ได้ ไม่ให้ก็ไม่ผิดครับ เพียงแต่เป้าประสงค์ของแคมเปญนี้จริงๆ คงเป็นการหวังให้สโมสรฟุตบอลที่ทำรายได้มหาศาลจากแฟนบอล แบ่งปันอะไรกลับคืนสู่สังคมบ้าง
ข่าวดีคือ เชลซี เป็นสโมสรแรกที่ตอบรับเรื่องนี้ครับ และน่าจะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของสโมสรอื่นๆตามมาในเร็วๆนี้
มันอาจไม่ได้นำมาซึ่ง “ความเท่าเทียม” ที่แท้จริง