วงการฟุตบอลไทยต้องพบข่าวเศร้าอีกครั้งจากการสูญเสีย “ปูชนียบุคคล” เมื่อ “นายพันลูกหนัง” พล.อ.ประเทียบ เทศวิศาล ได้จากไปอย่างสงบในวัย 91 ปี

แฟนบอลยุคปัจจุบันคงไม่มากที่จะรู้จัก พล.อ.ประเทียบ แต่ถ้าเป็นระดับ “แฟนพันธุ์แท้” ติดตามเรื่องประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย รับประกันว่าต้องเคยได้ยินชื่อ เพราะนี่คือปูชนียบุลคลระดับ “ตำนาน” ของวงการฟุตบอลสยามประเทศ

สมัยเป็นนักเตะ พล.อ.ประเทียบ ก้าวไปถึงระดับติดทีมกรุงเทพผสม (ทีมชาติไทย) แต่ผลงานที่ระบือลือลั่นมากที่สุดคือการทำหน้าที่ “หัวหน้าผู้ฝึกสอน” พาทีมชาติไทยสร้างผลงานเกรียงไกรมากมาย

เพจ “นักเลงฟุตบอล ทีวี” โดย สมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย (สปท.) บันทึกข้อมูลเอาไว้ว่า พล.อ.ประเทียบ คือกุนซือที่พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ “ถ้วยทอง” หรือฟุตบอลเยาวชนแห่งเอเชีย 2 สมัย เมื่อพ.ศ.2505 และพ.ศ.2512

นอกจากนี้ พล.อ.ประเทียบ ยังเป็นโค้ชประวัติศาสตร์ที่พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ “กีฬาแหลมทอง” หรือ “กีฬาซีเกมส์” ในปัจจุบันได้เป็นสมัยแรกของทีมชาติไทยด้วย โดยสามารถคว้าแชมป์ได้ในกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 3 เมื่อพ.ศ.2508

ส่วนผลงานที่น่าจะเป็นความภาคภูมิใจมากที่สุดคือการพาฟุตบอลไทยไประดับโลก เมื่อ พล.อ.ประเทียบ นำทัพทีมชาติไทยผ่านรอบคัดเลือกเข้าสู่รอบสุดท้ายการแข่งขัน “กีฬาโอลิมปิก 1968” ที่เม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก เมื่อพ.ศ.2511 (ค.ศ.1968)

ผู้คนเล่าขานว่าสไตล์การทำทีมของ พล.อ.ประเทียบ เน้นการฝึกแบบวินัยทหาร แต่ผลผลิตนั้นไม่ธรรมดาสามารถสร้างลูกทีมไปติดทีม “ดาราเอเชีย” ถึง 2 คนคือ อัศวิน ธงอินเนตร ในพ.ศ.2508 และ ณรงค์ สังขสุวรรณ พ.ศ.2515

นี่คือเกียรติประวัติด้านลูกหนังของ พล.อ.ประเทียบ ผู้ที่ได้รับฉายาว่า “นายพันลูกหนัง” เนื่องจากยศขณะนั้นคือ “พันตรี” ก่อนที่จะติดยศ “พลเอก” ในเวลาต่อมาหลังจากอำลาชีวิตในสนามฟุตบอล

แม้จะเลิกลาจากชีวิตในสนามฟุตบอลไป แต่ พล.อ.ประเทียบ ไม่เคยห่างหายจากฟุตบอลไทย บั้นปลายชีวิตของ “นายพันลูกหนัง” ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง สมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย (สปท.) ขึ้นเมื่อ 14 ปีที่แล้ว

พล.อ.ประเทียบ รับหน้าที่นายกสปท. เป็นคนแรกระหว่าง พ.ศ.2546-2550 ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่เยี่ยมยอดต่อคนรุ่นหลัง เพราะยุคนั้นคนไทยไม่สนใจอดีตฟุตบอลไทย แต่ สปท. ได้รวบรวมเรื่องอดีตเป็นแหล่งข้อมูลให้คนปัจจุบันเรียนรู้เพื่อต่อยอดสู่อนาคต

จากผลงานและเกียรติประวัติที่ผ่านมาคงไม่ใช่เรืองเกินเลยหากจะบอกว่า พล.อ.ประเทียบ คือปูชนียบุคคลของวงการฟุตบอลไทยอย่างแท้จริง และ “นายพันลูกหนัง” สมควรได้รับการเชิดชูเกียรติไม่น้อยไปกว่าใคร

หน้าที่ตรงนี้ต้องเป็นภารกิจที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ต้องดำเนินการให้สมเกียรติ ที่ผ่านมาวงการฟุตบอลไทยละเลยเรื่องทำนองนี้มามาก ต่างจากหลายเหตุการณ์ในต่างประเทศที่เราเคยเห็นบ่อยหนในการเชิดชู “ฮีโร่” เมื่อวันวาน

พิธีการทางศาสนาจะมีการตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน จนถึงวันที่ 16 ส.ค.นี้ เรียนเชิญผู้คนในทุกองคาพยพวงการฟุตบอลไทยไปร่วมไว้อาลัย พึงสำนึกดั่งสุภาษิตจีนที่ว่า “เมื่อดื่มน้ำอย่าลืมนึกถึงต้นลำธาร”

แม้ร่างกายจะดับสูญ แต่คุณงานความดีและเกียรติประวัติยังคงอยู่สืบไป ขอไว้อาลัยต่อการจากไปของ “นายพันลูกหนัง” พล.อ.ประเทียบ เทศวิศาล ครับ

“บับเบิ้ล”

RIP ครับ

rip

หลับให้สบายนะปู่

สู่สุขคติครับ

หลับให้สบายนะครับปู่ เวลาอาจจะพรากอะไรหลายๆอย่างจากเราไป แต่ความดีของปู่จะอยู่กับบอลไทยตลอดไปครับ

สิ่งสำคัญสำหรับนักฟุตบอลก็คือ"วินัย"นี่แหละ ที่สามารถนำพาทีมไปสู่จุดสูงสุดได้ ซึ่ง พ.อ.ประเทียบก็แสดงให้เห็นเป็นประวัติศาสตร์ลูกหนังไทยไปแล้ว นักฟุตบอลไทยควรฝึกวินัยให้ดียิ่งขึ้น ไม่มัวหลงระเริงกับชื่อเสียงเงินทอง กลัวจริงๆว่าจะพากันหลงลืมตัวไปกับเสียงชื่นชม เพราะทุกวันนี้เหมือนเป็นดารากันไปหมดแล้ว

ขอกราบลาอาลัยแด่ท่าน พ.อ.ประเทียบ ด้วยจิตคารวะครับ

สู่สุขคติครับ

RIP ครับ

หลับให้สบายครับท่าน

หลับให้สบายครับ

R.I.P คับ

R I P ครับ