การเข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริจด์ ของอันโตนิโอ คอนเต้ เทรนเนอร์ผู้พายูเวนตุสคว้าแชมป์ไร้พ่าย สร้างความตื่นเต้นให้แก่สาวกเชลซีไม่น้อย และการที่คอนเต้พาอิตาลีที่ไม่มีสตาร์ดังในแนวรุกโลดแล่นบนยูโร 2016 ที่ผ่านมาได้อย่างน่าประทับใจ ยิ่งทำให้แฟนสิงห์ต่างตื่นเต้นขึ้นเป็นสองเท่า ยิ่งอดใจไม่ได้ที่จะรอดูทีมรักกับเทรนเนอร์คนใหม่
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ตื่นเต้นมากทีเดียวกับการที่จะได้เห็นเชลซีภายใต้การคุมทีมของกุนซือจอมเฮี้ยบผู้นี้ ผมจึงพลาดไม่ได้ที่จะชมเกมอุ่นเครื่องของทีม
จากการชมเกมอุ่นเครื่องทั้งสองนัดของผม ผมพบว่าคอนเต้เปลี่ยนแนวทางการเล่นของเชลซีไปมากเลยครับ ที่เห็นได้ชัดคือ จากที่ใช้ 4-2-3-1 มาเนิ่นนาน คอนเต้เข้ามาก็ปรับเป็น 4-2-4 ไปซะนี่
โดย Formation การยืนในเกมรุกแบบเดิมจะเป็นแบบนี้ครับ
------------FC-------------
--AML----AMC----AMR---
--------MC------MC-------
--LB----CB----CB----RB--
------------GK-------------
ขณะที่แบบใหม่ (4-2-4) จะยืนลักษณะนี้ครับ
--LW----FC----FC----RW--
--------MC------MC---------
--LB----CB----CB----RB---
------------GK--------------
เรียกได้ว่า ยกเครื่องระบบการเล่นโดยเฉพาะกองกลางกับกองหน้าไปหลายตำแหน่งเลยทีเดียวเชียวครับ ต่อจากนี้ผมจะเล่ารูปแบบให้ฟังตามที่ผมได้พบเห็นมานะครับ การเข้ามาของคอนเต้นั้นทำให้รูปแบบเกมรุกของเชลซีเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร และมีจุดที่น่าสนใจดังนี้ครับ
1.เพิ่มแดนหน้า
เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาปัญหาหลักในเกมรุกของเชลซี คือการโจมตีในพื้นที่สุดท้ายทำได้ไม่ดีนัก อันเนื่องมาจากคู่ต่อสู้มักจะถอยลงมาคุมโซนลึก บริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ทั้งกองหลังและกองกลางรวมๆกันแล้วประมาณ 9 คน ซึ่งทำให้ยากแก่การจ่ายทะลุช่อง หรือเลี้ยงตะลุยเข้าไปได้ ในหลายๆครั้งเรามักจะเห็นบรรดากองกลางได้แต่ถ่ายบอลกันไปมา อยู่ระหว่างเส้นกลางสนามกับหน้ากรอบเขตโทษ แต่หาจังหวะเจาะเข้าทำไม่ได้สักที พอจ่ายลุ้นเข้าไปก็กลายเป็นเสียบอล แล้วถูกสวนกลับ การจะใช้วิธีโยนบอมบ์เข้าไปนั้น โอกาสที่จะเอาชนะกองหลังฝั่งตรงข้ามมีน้อย เนื่องจากมีกองหน้าตัวยืนแค่คนเดียว
แผนใหม่ 4-2-4 นี้จะตัดปัญหาเรื่องเกมรุกในพื้นที่สุดท้าย เนื่องจากจะเพิ่มจำนวนกองหน้าขึ้นมาอีก 1 คน และตัวรุกริมเส้นสองข้างจะยืนสูงขึ้น ทำให้จำนวนผู้เล่นในการรุกโจมตีพื้นที่สุดท้ายจะมีมากขึ้น มีตัวเลือกในการจ่ายบอลมากขึ้น เวลาโยนบอมบ์เข้าไปก็จะมีคนเข้าโจมตีมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งจากเกมอุ่นเครื่องที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเวลาที่จะเปิดบอลเข้าไปในเขตโทษ จะมีผู้เล่นเชลซีอย่างน้อย 3 คนกรูกันเข้าไปในกรอบ เพื่อกดดันแผงหลังและหาโอกาสเข้าทำ
2.แดนกลางน้อยลง
แม้ว่า 4-2-4 จะลดปัญหาเรื้อรังในเรื่องการเข้าทำพื้นที่สุดท้ายลงไป แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการลดจำนวนกองกลางลง ซึ่งสำหรับฟุตบอลสมัยใหม่ที่เน้นการต่อสู้ในแดนกลาง ถือว่าเป็นการเดิมพันที่เสี่ยงอย่างมหาศาล!!
โดยปกติสำหรับ 4-2-3-1 ของเชลซีเมื่อฤดูกาลก่อน กองกลาง 5 คนจะครองบอลบุกและถ่ายบอลไปมาบริเวณหน้ากรอบเขตโทษของฝั่งตรงข้ามเพื่อหาโอกาสเข้าทำ แต่สำหรับ 4-2-4 แผนใหม่เอี่ยมนี้ ในเวลาครองบอลทำเกมรุก กองกลาง 2 คน จะจ่ายบอลเชื่อมเกมกันกับกองหลังทั้ง 4 คนเป็นหลัก บริเวณหลักในการครองบอลจึงถอยจากหน้ากรอบเขตโทษคู่แข่งมาเป็นบริเวณวงกลมกลางสนามแทน
โดยในเวลาครองบอลปกติ CB และ MC จะยืนกันเป็นสี่เหลี่ยม และเคลื่อนที่ขยับตามช่องว่างเพื่อรับ-จ่ายบอล ฟูลแบ็คสองข้างจะขยับขึ้นมายืนระนาบเดียวกันกับกองกลาง เพื่อเพิ่มทางเลือกในการจ่ายบอลมากขึ้น ปีกทั้งสองข้างจะลงมาช่วยต่อบอลในยามที่ต้องการเพิ่มทางเลือกในการเล่น ในบางโอกาสกองหน้าคู่จะมีคนใดคนหนึ่งลงมาช่วยล้วงบอล และดึงตัวประกบเพื่อเปิดช่องในการเล่น ส่วนอีกคนยืนค้ำแนวเดียวกับแนวรับฝั่งตรงข้ามเพื่อรอบอลทะลุช่อง หรือทำลายกับดักล้ำหน้า
Spoil
การยืนตำแหน่งทั่วๆไป เวลาครองบอลบุก
---------------------FC****---------
--LW**----FC***----------RW**--
--LB*-----MC*------MC*-----RB*--
-----------CB*----CB*--------------
----------------GK-------------------
* ครองบอล เชื่อมเกมเป็นหลัก
** ลงมาช่วยในกรณีที่ต้องการตัวครองบอลเพิ่ม เช่นถูกรุมแบบ 3ต่อ2
*** วิ่งลงมาเก็บบอล และดึงตัวประกบลงมาเพื่อเปิดช่องว่างของแนวรับคู่แข่ง
**** ยืนค้ำแนวเดียวกันกับกองหลังคู่แข่ง เพื่อรอบอลโยนหรือทะลุช่องและทำลายกับดักล้ำหน้า
3.ไม่กลัวการยืนคุมโซนลึกอีกต่อไป
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า ปัญหาหลักเกมรุกฤดูกาลที่แล้วของเชลซี คือถูกยืนคุมโซนลึกเมื่อไหร่ก็จะเจาะไม่ค่อยได้ สำหรับ 4-2-4 นี้ คือแผนที่จะมาแก้ทางแนวรับสองชั้นของฝั่งตรงข้าม โดยผมมองว่ามีสองเหตุผลที่อธิบายข้อนี้คือ
เหตุผลแรก แผน 4-2-4 คือแผนที่ลบจุดด้อยเรื่องจำนวนกองหน้าที่มีน้อย การเพิ่มจำนวนกองหน้าเป็น 2 คน ทำให้ CB 2 คน อาจต้องรับมือกับกองหน้าในลักษณะ 1ต่อ1 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับกองหลัง และมีโอกาสที่จะพลาดพลั้งเวลาถูกครอสบอลเข้าไปสูง
เหตุผลที่สอง อย่างที่ได้บอกไปว่า การครองบอลหลักจะถอยจากหน้ากรอบเขตโทษฝั่งตรงข้ามมาเป็นบริเวณวงกลมกลางสนามแทน ทำให้คู่ต่อสู้เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขึ้นมาไล่บอลสูงขึ้น ทำให้แนวรับฝั่งตรงข้ามจากเดิมยืนกันต่ำมากต้องมายืนสูงขึ้น และพื้นที่ระหว่างกองกลางและกองหลังของฝั่งตรงข้ามก็จะเปิดมากขึ้น ผู้เล่นแนวรุกของเชลซีก็จะมีช่องให้โจมตีมากขึ้นนั่นเอง
4.แต่ถ้าถูกเพรสซิ่งสูง มีเสียว!!
หากใครได้ดูเกมแห่งปีระหว่าง เยอรมันกับอิตาลี ในยูโร2016 จะเห็นได้ว่า โยอาคิม เลิฟแก้ทางเกมบุกแบบคอนเต้ โดยการให้ลูกทีมเพรสซิ่งสูงตั้งแต่หน้ากรอบเขตโทษของอิตาลีเลยทีเดียว ซึ่งได้ผลอย่างมาก โดยการบีบสูงนี้ เป็นการเพรสซิ่งในลักษณะการปิดโอกาสในการขึ้นเกมจากทั้งกองหลังและกองกลาง ทำให้อิตาลีออกบอลสร้างเกมรุกได้ลำบากมากที่สุด จนแนวรุกอิตาลีที่ยืนห่างจากกองกลางค่อนข้างมากถูกตัดออกจากเกมแทบไม่ได้บอลเลย สุดท้ายคอนเต้จึงต้องแก้หมาก
ระบบ 4-2-4 ของเชลซีก็เช่นกัน หากถูกเกมเพรสซิ่งสูง กดดันกองหลังและกลาง 2 ตัวลักษณะแบบนี้ (บีบช่องของผู้เล่น ที่เป็น 1* ในสปอยล์ข้างบน) อาจทำให้ขึ้นเกมได้ยาก และสุดท้าย 4 ตัวรุกก็จะถูกตัดออกจากเกมไป
5.กองกลาง 2 ตัว ต้องเก่งจริงๆ
แผนการเล่นยอดนิยมในปัจจุบัน คือ 4-2-3-1 ซึ่งเป็นแผนที่มีข้อดีคือแดนกลางแน่นมาก ซึ่งหากทีมที่กองกลางเยอะแล้วมาเล่นเพรสซิ่งสูงกับ 4-2-4 เชลซี นั่นหมายความว่ากองกลางทั้งสองตัวของเชลซี อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ถูกรุมแบบ 2ต่อ1 หรือ 3ต่อ2
ประกอบกับ การที่เชลซีครองบอลโดยใช้ CB และ MC เป็นหลักนี้ หากจ่ายพลาดขึ้นมาอาจถูกจ่ายทะลุหลุดเดี่ยวไปดวลกับผู้รักษาประตูสูงมาก (ขณะที่ 4-2-3-1 ซึ่งใช้กองกลาง 5 ตัวเป็นหลักในการครองบอล หากพลาดก็ยังมีกองหลังคอยรองรับอีก 1 ชั้น)
จากเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้กองกลางทั้งสองตัว จำเป็นจะต้องเก่งมากๆ
ต้องสามารถเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันได้ดี เพราะโอกาสถูกรุมมีสูง
ต้องสมาธิดีความแน่นอนสูง เพราะถ้าพลาดมีโอกาสหลุดเดียวสูง
ต้องตัดเกมได้ เพราะตัวเองต้องเจอกองกลางตัวรุกของฝั่งตรงข้ามเต็มๆ
ต้องจ่ายบอลดี เพราะแดนหน้ายืนค่อนข้างห่าง
ต้องขยันวิ่งเยอะ เพราะจำนวนผู้เล่นในแดนกลางมีน้อยกว่าฝั่งตรงข้าม
เรียกได้ว่า หนักเอาการสำหรับภาระของกองกลางทั้งสองคนในแผนนี้
6.โจมตีจากริมเส้น จุดขายในเกมรุก
ถ้าใครได้ชมการอุ่นเครื่องของเชลซีทั้งสองนัด จะเห็นได้ว่าหนึ่งในผู้เล่นที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดคือ วิคเตอร์ โมเสส ทั้งนี้ก็เพราะแผน 4-2-4 เป็นแผนที่เอื้อต่อการโชว์ความสามารถของผู้เล่นริมเส้นอย่างมาก
ปัจจัยแรก การที่ฝั่งตรงข้ามต้องขึ้นมาบีบสูง ทำให้พื้นที่ระหว่างกองหลังและกองกลางฝั่งตรงข้ามกว้างขึ้น ตัวรุกริมเส้นมีพื้นที่ให้เล่นมากขึ้น สามารถใช้ความสามารถเฉพาะตัวโจมตีฟูลแบ็คฝั่งตรงข้ามได้ง่าย
ปัจจัยที่สอง มีกองหน้าสองคนทำให้การโจมตีด้วยการครอสบอลจากริมเส้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีตัวคอยเข้าทำในกรอบอย่างต่ำ 3 คน (กองหน้า 2 คน อีก1คนคือปีกอีกฝั่งที่ไม่ได้เปิดบอล จะบีบเข้ามาโจมตีเสาสอง)
ข้อนี้ต้องชมคอนเต้ว่าเลือกจุดขายได้ถูกต้อง เพราะว่าจุดเด่นในแนวรุกของเชลซีชุดนี้คือมีตัวรุกริมเส้นระดับพระกาฬหลายคน (อาซาร์ เปโดร วิลเลี่ยน กวาดราโด้ รวมไปถึงแบ็คอัพที่ผีเท้าไม่ได้น่าเกลียดอย่าง โมเสส ตราโอเร่ และเคเนดี้ด้วย)
สรุปแล้ว 4-2-4 ของคอนเต้ เป็นระบบการเล่นที่น่าสนใจทีเดียว เพราะด้วยระบบอาจสามารถแก้จุดบอดในแนวรุกของเชลซีและช่วยให้ตัวริมเส้นเฉิดฉายได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แลกมากับความเสี่ยงในแดนกลางที่อาจมีจำนวนน้อยกว่าคู่แข่ง ฉะนั้นเราต้องมาดูกันต่อไปว่าเมื่อเอาแผนนี้มาใช้ในพรีเมียร์ลีกแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร เชลซีของคอนเต้จะประสบความสำเร็จแค่ไหน ตัวเลขในตารางคะแนนจะเป็นตัวชี้วัด และผมชักจะอดทนรอการเปิดฤดูกาลไม่ไหวซะแล้วครับทุกท่าน!!
ปล. ผมวิเคราะห์จากประสบการณ์ในการดูบอล(อันน้อยนิด)ของผม อาจมีบางจุดที่ผิดพลาดบ้าง หากมีจุดไหนที่ไม่ถูกใจ ต้องขออภัยด้วยนะครับ ชอบหรือไม่ชอบยังไงติชมได้นะครับ ยินดีรับฟังทุกเสียงตอบรับครับ
Edit ถ้าชอบก็ช่วยกันโหวตขึ้นกระทู้แนะนำด้วยนะครับ