มาทำความรู้จักกับ Borussia Mönchengladbach กันสักหน่อย
ไหนๆ ก็ไหนๆ ฝากเพจ
Borussia Monchengladbach Thailand ด้วยเน้อ
--------------
Borussia Mönchengladbach
เชื่อว่านาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อโบรุสเซียมึนเช่นกลัดบัค ต้นสังกัดของ Granit Xhaka ว่าที่กองกลางคนใหม่ของอาร์เซนอล แต่ขณะเดียวกัน หลายๆ คนก็คงเพิ่งเคยได้ยินชื่อทีมๆ นี้
หากเท้าความถึงบุนเดสลีกาที่จบไปแล้วเมื่อหลายสัปดาห์ด้วยผลที่ไม่ต่างจากความคาดหมายของหลายๆ คนนัก เมื่อบาเยิร์นมิวนิคเจ้าแห่งลีกเยอรมันไม่ยอมปล่อยให้ถาดแชมป์หลุดมือ ยักษ์ใหญ่แดนใต้คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ห้าติดต่อกัน
ในฤดูกาลนี้ มีเพียงสองทีมเท่านั้นที่สามารถปราบเสือแดนใต้ลงได้สำเร็จ และมีเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่ไม่แพ้ให้กับบาเยิร์นมิวนิค ทั้งสองนัด นัดเหย้าและนัดเยือน
Borussia Mönchengladbach หรือที่สื่อไทยขนานนามพวกเขาว่า “สิงห์หนุ่ม” นั่นเอง
สิงห์หนุ่มเป็นใครมาจากไหน
แม้จะเพิ่งกลับมาเริ่มต้นในบุนเดสลีกาอีกครั้งหนึ่งเมื่อฤดูกาล 2009/2010 แต่กลัดบัคในอดีตก็ถือเป็นสโมสรที่เคยยิ่งใหญ่ไม่น้อย สองดาวบนอกเสื้อบ่งบอกถึงความเป็นแชมป์บุนเดสลีกาห้าสมัยของพวกเขา
และถึงจะถูกขนานนามสมญาไทยว่า “สิงห์หนุ่ม” แต่มาสค็อตจริงๆ ของกลัดบัคคืออาชาหนุ่ม (Foals) จึงมีฉายาในภาษาเยอรมันว่า Die Fohlen (The Foal) หรือ Die Fohlenelf (The Eleven Foals) ที่แปลว่าอาชาหนุ่มทั้งสิบเอ็ด อันหมายถึงผู้เล่นสิบเอ็ดคนในสนาม
มองย้อนไปในอดีต
สโมสรโบรุสเซียมึนเช่นกลัดบัคก่อตั้งในเดือนสิงหาคมปี 1900 ปีเดียวกันกับที่ยักษ์ใหญ่แห่งมิวนิคถือกำเนิด คำว่า Borussia นั้นเป็นภาษาลาตินของ Prussia แคว้นอันเป็นที่ตั้งของสโมสรในสมัยนั้น เมื่อแคว้นปรัสเซียล่มสลายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี และสโมสรก็ได้เข้มร่วม German Championship ในปี 1920 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งแรกหลังสงครามโลกจบลง
กลัดบัคไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของบุนเดสลีกาในการก่อตั้งลีกเมื่อปี 1963 แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยสถานภาพทางการเงินที่ไม่อาจจับจ่ายใช้สอยได้มากนัก พวกเขาจึงเน้นการเสาะหาเด็กฝีเท้าดีในท้องถิ่น นั่นทำให้เพชรเม็ดงามอย่าง กินเทอร์ เนทเซอร์ และ(ปู่)จุ๊ป ไฮเกส ถูกค้นพบที่นี่
และแล้วในปี 1965 พวกเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของบุนเดสลีกาได้สำเร็จ
ในช่วงทศวรรษที่ 70s ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของทีมจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือแห่งนี้ พวกเขาก้าวเข้ามาเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลีกา บาเยิร์นมิวนิค
The Bayern Machine vs The Gladbach Foals
ทั้งสองทีมไม่ได้เป็นเพียงแค่คู่ปรับในสนาม แต่ยังแฝงความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น ท่ามกลางยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น ทั้งสองทีมยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของทัศนทางการเมืองขั้วตรงข้ามที่แตกต่างกัน
บาเยิร์นมิวนิคนั้นเป็นตัวแทนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมทางใต้ ขณะที่กลัดบัคเป็นตัวแทนของคนหนุ่มหัวก้าวหน้าจากทางภาคเหนือ พวกเขาต่างสะท้อนแนวคิดของตนเองในสไตล์การเล่น หรือแม้กระทั่งตัวผู้เล่นเอง ฟรานซ์ เบเคนบาวเออร์ ของบาเยิร์นมิวนิค และ กินเทอร์ เนทเซอร์ ของกลัดบัค ต่างกลายเป็นสัญลักษณ์ของทีมด้วยบุคลิกของพวกเขา
ช่วงเวลานี้เอง ที่สไตล์การเล่นอันเปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น ทำให้กลัดบัคได้รับสมญาว่า Die Fohlen (The Foals) หรือ เหล่าอาชาหนุ่มนั่นเอง
กลัดบัคกลายเป็นทีมแรกในบุนเดสลีกาที่สามารถคว้าแชมป์ได้สองสมัยติดต่อกัน ในฤดูกาล 1969/70 และ 1970/71 แต่หลังจากนั้นก็ถูกบาเยิร์นมิวนิคข่มกลับด้วยการคว้าแชมป์สามสมัยติดต่อกัน กระนั้นบรรดาอาชาหนุ่มดูจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขาคว้าแชมป์สามสมัยติดในอีกสามฤดูกาลถัดมา
แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนเข้าสู่ยุค 80’s ยุคเสื่อมถอยของโบรุสเซียมึนเช่นกลัดบัคดูเหมือนจะคืบคลานเข้ามา พวกเขาไม่เคยได้แชมป์ลีกอีกเลย ในทางกลับกัน เมื่อถึงฤดูกาล 1998/1999 โบรุสเซียมึนเช่นกลัดบัคก็ร่วงลงสู่ Bundesliga II
ในช่วงต้น 2000s กลัดบัคได้ดำเนินการก่อสร้างสนามใหม่ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น และมีความจุกว่าห้าหมื่นที่นั่งมาแทนที่เดิม Borussia Park สร้างเสร็จในปี 2004 และได้เป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพ
และดูเหมือนสนามใหม่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ เช่นกัน
Welcome to the new age
การเปิดสนาม Borussia Park นั้นคล้ายจะเป็นการเปิดฉากยุคสมัยใหม่ของกลัดบัคด้วยเช่นกัน เพราะในอีกไม่กี่ฤดูกาลถัดมา (2007/2008) โบรุสเซียมึนเช่นกลัดบัคก็สามารถคว้าชัยในลีกาสองและกลับคืนสู่บุนเดสลีกาอีกครั้ง
หลังการจากลาอันยาวนาน ฤดูกาลแรกของกลัดบัคในบุนเดสลีกาเริ่มต้นได้ไม่สวยนักในช่วงแรก ก่อนลูเซียง ฟาร์ฟ กุนซือชาวสวิสจะเข้ามากอบกู้สโมสรเอาไว้ให้รอดจากการหนีตกชั้น ในฤดูกาลถัดมาผลงานของพวกเขาก็ดีขึ้นตามลำดับ
ฤดูกาลล่าสุด พวกเขาสามารถรักษาตำแหน่งไว้ที่ลำดับสี่ของบุนเดสลีกา คว้าโควตาเข้าไปเล่นใน UCL ได้สำเร็จ
แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น กลัดบัคยังกลายเป็นสถานที่แจ้งเกิดของดาวรุ่งมากมายไม่เว้นแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นปีกตัวจี๊ดอย่างมาร์โค รอยซ์, ผู้รักษาประตูดาวรุ่ง มาร์ค-อังเดร เตอร์ สเตอเก้น, กรานิท ซาก้า หรือมาห์มู้ด ดาฮู้ด กองกลางดาวรุ่งวัย 20 ปี ต่างก็เป็นผลผลิตจากโบรุสเซียปาร์ค
จากวันนั้นจนวันนี้ เวลาผ่านมาร่วมร้อยปี แต่ดูเหมือนพลังหนุ่มที่เป็นสัญลักษณ์ของโบรุสเซียมึนเช่นกลัดบัคในยุคแรกนั้น มันยังคงอยู่คู่สโมสรไม่หายไปไหน
-----------------------------------------------------------------
Spoil
อันนี้บ่นเองเพิ่มเติม 555
ทีมบ้าอะไรเสียตัวหลักทุกปี //ล้มโต๊ะ
แต่จริงๆ ก็เข้าใจได้ เพราะเพดานค่าเหนื่อยกลัดบัคต่ำมากจริงๆ ปีล่าสุดนี่ไม่แน่ใจ แต่ปีก่อนนู้นคนที่ได้ค่าเหนื่อยสูงสุดคือ Max Kruse ยังได้ไม่ถึง 7 หมื่นยูโรต่อสัปดาห์เลย ได้ยินว่าประมาณหกหมื่นเองด้วย เทียบเป็นปอนด์ก็คงตกประมาณห้าหมื่นกว่าปอนด์ต่อวีค
ค่าเหนื่อยระดับนี้จ่ายดาวรุ่งพรีเมียร์ลีกสมัยนี้ยังไม่ได้เลยมั้ง 555555
ตอนนี้อยากให้กลัดบัคทำการตลาดดีๆ บ้าง ทุกวันนี้คือการตลาดในต่างประเทศแย่มากจริงๆ มีอย่างที่ไหนยอดผู้เข้าชมในสนามติดอันดับท็อปๆ แต่แฟนเพจไม่ถึงล้าน
มัวแต่ทำการตลาดแต่ในเพื่อนบ้านอยู่สองประเทศออสเตรียกับสวิส เพราะไปแต๊บนักเตะเขามาเรื่อย
อยากจับทีมมาร์เก็ตติ้งมาเขย่าๆ จริงๆ เอเชียมีคนตั้งเยอะไม่ทำการตลาดอะไรบ้างเล้ย
-----------------------------------------------------------------
เรียบเรียงโดย :
Borussia Mönchengladbach Thailand (Nakhal)
อ้างอิง:
Who exactly are Borussia Monchengladbach
Football's finest rivals: Bayern Munich vs. Monchengladbach 1968-77