ยุ่นแซงหน้ามังกร
ดูเหมือน "ญี่ปุ่น" จะนำหน้า "จีน" อยู่หลายก้าวกับภาพความสำเร็จกดปุ่มทดสอบเดินรถขนส่งสินค้าขนาด 12 ฟุต ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ข้อที่ "ไทย-ญี่ปุ่น" เซ็น MOC ร่วมกัน
งานนี้ญี่ปุ่นไม่ต้องแรงมาก แค่วิเคราะห์การขนส่งสินค้าทางรถไฟทั่วประเทศรูปแบบใหม่ให้เหมาะกับไทย และนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์จากญี่ปุ่นมาวิ่งเป็นต้นแบบที่ "สถานีหนองปลาดุก" ชุมทางเส้นทางรถไฟระหว่างท่าเรือแหลมฉบังกับท่าเรือทวาย
ขณะที่ "รถไฟไทย-จีน" ถึงจะเจรจามาร่วมปี มีการปักธงแสดงสัญลักษณ์เริ่มต้นโครงการ แต่ก็ยังสุดลุ่ม ๆ ดอน ๆ ด้วยมูลค่าลงทุนสูงทะลุ 5.3 แสนล้านบาท ผนวกกับเสียงวิจารณ์ถามหาถึงความคุ้มค่าการลงทุน และสิ่งที่ประเทศไทยจะได้รับจากโครงการ ทำให้โปรเจ็กต์อาจจะไปไม่ถึงดวงดาว
แต่เพราะเป็นโครงการความร่วมมือของรัฐบาลสองประเทศที่เซ็น MOU กันไว้ ในช่วงระหว่างนี้จึงยังเดินหน้าหารือกันต่อ ส่วนจะถึงขั้นปักตอม่อหรือไม่ยังต้องลุ้น เมื่ออะไรที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ดูจะไม่เหมือนเดิม แถมยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากข้อตกลง
รื้อใหญ่รถไฟไทย-จีน
ล่าสุดมีความเป็นไปได้สูง โครงการอาจจะถูกแปลงร่างจากรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งด้วยความเร็ว 160-180 กม./ชม. ขนทั้งผู้โดยสารและสินค้ามาเป็นรถไฟความเร็วสูง วิ่งด้วยความเร็ว 200-250 กม./ชม. ใช้ขนส่งผู้โดยสารอย่างเดียว
หลัง "ไทย-จีน" หารือกันนอกรอบ อาจปรับเส้นทางจากเดิมกรุงเทพฯ-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง 873 กม. โดยหั่นค่าก่อสร้างช่วง "แก่งคอย-มาบตาพุด" ออกกว่า 1 แสนล้านบาท และปรับแบบช่วง "นครราชสีมา-หนองคาย" ระยะทาง 355 กม. จากทางคู่เป็นทางเดี่ยว สามารถลดค่าก่อสร้างได้กว่า 4-5 หมื่นล้านบาท โดยเร่งสร้างช่วง "กรุงเทพฯ-นครราชสีมา" ระยะทาง 271.5 กม.เป็นลำดับแรก
ขณะเดียวกัน ปรับวัตถุประสงค์โครงการใหม่ เน้นขนส่งผู้โดยสาร ส่วนการขนส่งสินค้าจะใช้รถไฟทางคู่ราง 1 เมตร โดยขนส่งสินค้าจากลาวจะถูกมากองไว้ที่ลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์สินค้า (CY) ที่สถานีนาทา มายังท่าเรือมาบตาพุดแทน
เพราะฉะนั้น เมื่อโครงการนี้ไม่ใช้ขนส่งสินค้า ก็สามารถปรับความเร็วได้ 250 กม./ชม.เท่ากับรถไฟความเร็วสูงได้
ฟื้นไฮสปีด กทม.-หนองคาย
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การปรับแบบและเส้นทางล่าสุด มีความเป็นไปได้สูงที่รถไฟไทย-จีนจะกลับมาเป็นรถไฟความเร็วสูง ซึ่งทั้งไทยและจีนมีผลการศึกษาเดิมอยู่แล้ว
"ก่อนหน้านี้รัฐบาล คสช. นำโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคายมาปรับเป็นรถไฟความเร็วปานกลางและเพิ่มเส้นทางช่วงแก่งคอย-มาบตาพุดล่าสุดเมื่อปรับแบบใหม่ก็กลับมาใช้ผลการศึกษารถไฟความเร็วสูงเหมือนเดิมเพื่อให้โครงการได้เดินหน้าทันกำหนดที่2 รัฐบาลจะก่อสร้างเดือน พ.ค.นี้"
แหล่งข่าวกล่าวว่า ผลศึกษารถไฟความเร็วสูงเดิมที่จีนศึกษาให้เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคายเมื่อหลายปีที่ผ่านมา มีระยะทาง 615 กม. สร้างตามแนวรถไฟเดิม รูปแบบก่อสร้างอยู่ระดับดินตลอดเส้นทาง ค่าก่อสร้าง 198,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 330 ล้านบาท/กม.
เฟสแรกลงทุน 1.7 แสนล้าน
ขณะที่ผลศึกษารถไฟความเร็วสูงของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาแล้วเสร็จและส่งรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้วในช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 256 กม. เงินลงทุน 176,598 ล้านบาท มีค่าเวนคืนกว่า 8,000 ล้านบาท ส่วนช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กม. อยู่ระหว่างทำรายงานอีไอเอจะเสร็จเดือน ก.พ.นี้ ใช้เงินลงทุนกว่า 2.4 แสนล้านบาท มีค่าเวนคืน 5,000 ล้านบาท
สำหรับแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงช่วง "กรุงเทพฯ-นครราชสีมา" หากไทย-จีนเคาะกลับมาใช้โมเดลรถไฟความเร็วสูง มีจุดเริ่มต้นที่สถานีบางซื่อผ่านดอนเมือง พระนครศรีอยุธยา มาถึงชุมทางบ้านภาชี แยกเข้าสู่เส้นทางรถไฟสายอีสาน จากบ้านภาชีมุ่งหน้าเข้าสู่ จ.สระบุรี ผ่านสถานีปากช่อง แล้วเลียบอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคองไปยังสถานีปลายทางที่นครราชสีมา
ที่ตั้งสถานีถัดจากสถานีกลางบางซื่อ ดอนเมือง พระนครศรีอยุธยา ภาชี จะสร้างอยู่ที่เดิม มาถึงสระบุรีจะสร้างอยู่ที่ใหม่ ห่างสถานีรถไฟเดิม 3 กม. เยื้องศูนย์การค้าเซ็นทรัล สถานีปากช่องจะอยู่ที่ราชพัสดุหนองสาหร่าย ห่างสถานีเดิม 5 กม. และสถานีนครราชสีมาจะอยู่ที่เดิม มีเวนคืนที่ดิน 926 ไร่ ส่วนช่วงนครราชสีมา-หนองคายมี 3 สถานี คือ สถานีขอนแก่น สถานีอุดรธานี สถานีหนองคาย เบื้องต้นตำแหน่งอยู่ที่สถานีรถไฟเดิม
ขณะที่ "
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า อยู่ระหว่างปรับรายละเอียดยังไม่ได้ข้อสรุป แต่หากจะเป็นไฮสปีดเทรนก็ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะจีนออกแบบรองรับความเร็ว 200-250กม./ชม.ไว้อยู่แล้ว "
กลางปีเคาะ SPV ไทย-ญี่ปุ่น
มาดูความคืบหน้ารถไฟไทย-ญี่ปุ่น "อาคม" กล่าวว่า ผลประชุมร่วมกับ นายชิโตะมุ ชิมุระ รองอธิบดีกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวหรือกระทรวงคมนาคมของประเทศญี่ปุ่น ตามบันทึกข้อตกลงก่อสร้างรถไฟไทย-ญี่ปุ่น
ในเส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง-อรัญประเทศ ทางญี่ปุ่นจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเหมาะสมแล้ว ขณะนี้เริ่มศึกษาสภาพเส้นทางที่ต้องปรับปรุง เบื้องต้นเป็นรถไฟขนาด 1 เมตร ในอนาคตจะก่อสร้างเป็นทางคู่เชื่อมต่อไปยังเขตเศรษฐกิจทวายประเทศเมียนมากับท่าเรือแหลมฉบัง
"เปิดทดลองขนส่งสินค้าขนาดเล็ก ที่สถานีหนองปลาดุก จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นจะช่วยดูในการปรับปรุงเส้นทางการเดินรถ โดยใช้รถตู้ขนส่งสินค้าขนาด 12 ฟุต จำนวน 12 ตู้ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ใช้สถานีหนองปลาดุกเป็นสถานีต้นแบบ วิ่งไปสุพรรณบุรีเข้ากาญจนบุรี ผลศึกษาจัดตั้งบริษัทร่วมทุน หรือ SPV เพื่อเดินรถจะเสร็จกลางปีนี้"
ตามโปรแกรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะทดลองขนส่งสินค้า 2 เส้นทางประกอบด้วย 1.บางซื่อ-ลำพูน-บางซื่อ ให้สถานีลำพูนเป็นจุดกระจายสินค้าในภาคเหนือ ทดลองวันที่ 15-19 ก.พ.นี้ และ 2.บางซื่อ-กุดจิก-ท่าพระ-กุดจิก-บางซื่อ มีสถานีกุดจิกและสถานีท่าพระเป็นศูนย์กระจายสินค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือวันที่ 8-12 ก.พ. เบื้องต้นมีบริษัท DAISIN เอกชนให้ความสนใจ เช่าตู้ขนส่งอะไหล่รถยนต์จากขอนแก่นไปท่าเรือแหลมฉบัง
สิ้นปีไฮสปีดไปเชียงใหม่เสร็จ
นายอาคมกล่าวว่า ส่วนรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ สิ้นปีผลศึกษาจะแล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมการก่อสร้าง เพราะทับซ้อนกับเส้นทางรถไฟไทย-จีนจากสถานีบ้านภาชี-สถานีบางซื่อ จะต้องมีการหารือแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหา เช่น จีน-ญี่ปุ่นใช้รางร่วมกัน ใช้รางร่วมกับแอร์พอร์ตลิงก์ สร้างแยกกันคนละรางหรือตัดช่วงแอร์พอร์ตลิงก์สร้างจากพญาไท-บางซื่อ เพราะช่วงรังสิต-บางซื่อมีโครงการก่อสร้างถึง 4 ราง
ส่วนรถไฟเส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร "อาคม" ระบุว่า ญี่ปุ่นยังไม่ได้เริ่มศึกษา เพราะรัฐบาลต้องการให้เดินหน้าเส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง-อรัญประเทศก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อรองรับกับเศรษฐกิจด้านใต้ของประเทศไทยที่มีนิคมอุตสาหกรรมอยู่มาก อีกทั้งรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่ทั้งไทย-เมียนมา-ญี่ปุ่นร่วมกันพัฒนา
เซ็นมอเตอร์เวย์สายแรก5ตอน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา กรมทางหลวง (ทล.) เซ็นสัญญาก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายพัทยา-มาบตาพุด 32 กม. จำนวน 5 สัญญา วงเงิน 3,764 ล้านบาท จากทั้งหมด 13 สัญญา ค่าก่อสร้าง 14,200 ล้านบาท คาดว่าทำให้เงินหมุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ทันทีหลังเบิกจ่าย 15% อีก 8 สัญญาจะทยอยเซ็นให้เสร็จไตรมาสที่ 1
สำหรับ 5 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ระยะทาง 3.2 กม. ค่าก่อสร้าง 743 ล้านบาท โดย บจ.ชัยนันท์ค้าวัสดุก่อสร้าง 2524 สัญญาที่ 4 ระยะทาง 3.05 กม. ค่าก่อสร้าง 622 ล้านบาท โดย หจก.แพร่วิศวกรรม สัญญาที่ 6 ค่าก่อสร้าง 894 ล้านบาท โดย บจ.เอส.เค.วาย.คอนสตรัคชั่น วิศวกรรม สัญญาที่ 8 ระยะทาง 2.1 กม. ค่าก่อสร้าง 704 ล้านบาท โดย บจ.วนิชชัยก่อสร้าง 1979 และสัญญาที่ 9 ระยะทาง 2.875 กม. ค่าก่อสร้าง 801 ล้านบาท โดย บจ.วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง
อีก 8 สัญญาได้แก่ สัญญาที่ 2 งานสะพาน 1.4 กม. ค่าก่อสร้าง 827 ล้านบาท โดย บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ สัญญาที่ 3 งานสะพาน 3.95 กม. ค่าก่อสร้าง 699 ล้านบาท โดย บจ.ทิพากร สัญญาที่ 5 ระยะทาง 2.25 กม. ค่าก่อสร้าง 785 ล้านบาท โดย บมจ.ช.การช่าง สัญญา 7 งานก่อสร้าง ระยะทาง 3.25 กม. ค่าก่อสร้าง 710 ล้านบาท โดย บจ.สี่แสงการโยธา สัญญา 12 ระยะทาง 3.15 กม. ค่าก่อสร้าง 717 ล้านบาท โดย หจก.นภาก่อสร้าง สัญญาที่ 13 ระยะทาง 3.75 กม. ค่าก่อสร้าง 649 ล้านบาท โดย หจก.นภาก่อสร้าง ส่วนสัญญาที่ 10-11 อยู่ระหว่างต่อรองราคา
"จะใช้เงินจากกองทุนค่าธรรมเนียมมาก่อสร้าง หลังเซ็นสัญญาแล้ว คาดว่าเริ่มสร้างปลายเดือน ก.พ.-มี.ค.นี้ เสร็จปี"62
สำหรับมอเตอร์เวย์อีก 2 เส้นทาง คือ บางปะอิน-โคราช 196 กม. เงินลงทุน 84,600 ล้านบาท อยู่ระหว่างประมูลและมีบางส่วนต้องทำการตกลงกับพื้นที่จะเวนคืน คาดว่าปีนี้จะเปิดประมูลได้ 20 สัญญาจากทั้งหมด 40 สัญญา ส่วนบางใหญ่-กาญจนบุรี 96 กม. เงินลงทุน 55,620 ล้านบาท อยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลผลการศึกษาสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) จะแล้วเสร็จกลางปีนี้ จากนั้นเริ่มประกวดราคาได้ คาดว่าปีนี้จะเปิดประมูลได้กว่า 10 สัญญา จากทั้งหมด 25 สัญญา
"เงินทุนก่อสร้างทั้ง 2 สายนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเดิมให้ใช้เงินกู้ แต่สำนักงบประมาณอยากให้ประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ จึงจัดสรรงบประมาณรายปีให้ เป็นงบปี"59-60 เตรียมเสนอ ครม.ขอเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินในเร็ว ๆ นี้"