แม้ เจมี่ วาร์ดี้ จะยิง 11 นัดรวด เป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีก แต่ควันหลงที่เป็นประเด็นของเกมกลับเป็นเรื่องของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด....
ใช่ครับ...การพลาดโอกาสทองในการขึ้นตำแหน่ง "จ่าฝูง" ของ "ปีศาจแดง" ไม่น่าสนใจเท่ากับเรื่องที่แฟนบอลทั่วโลกวิพากษ์ทีมของอาจารย์หลุยส์ ว่านับวันชักจะทวีความ "น่าเบื่อ" ขึ้นเรื่อยๆ
ผลงานในสนามมองด้วยตาเปล่าค่อนข้างชัดเจน
นักวิจารณ์หลายคนมองไปในทางเดียวกัน ตำนานนักเตะเก่าและสายสัมพันธ์ของแมนฯ ยูไนเต็ด แม้กระทั่งเด็กหงส์ และแฟนบอลที่เฝ้าติดตามดูพวกเขามาตลอดรู้สึกไม่ต่างกันวัน "เสน่ห์" ของแมนฯ ยูไนเต็ด หายไป
เอกลักษณ์ที่สร้างแบรนด์ แมนฯ ยูฯ ให้โด่งดังไปทั่วโลกหายไป
ฟาน กัล อาจจะไม่แคร์ ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเขามี "ปรัชญา" การเล่นฟุตบอลชัดเจนมากๆ "เน้นครองบอล" ส่วนเรื่องอื่นๆ มาทีหลัง เพราะสาระสำคัญของเขาหลังการครองบอลคือ "ผลแข่ง"
ผมเคยมีความคิดว่าต้องลืมช่วงเวลาอันสุดยอดจากสไตล์อันสุดเยี่ยมในยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพราะนี่คือยุค ฟาน กัล แต่เมื่อเรานั่งดูแมนฯ ยูฯ เล่นบอล เรากลับพบกับความว่างเปล่าในเกม
ครองบอล...บุก....แต่การจะเข้าไปยิงประตูนั้นแทบหาโอกาสไม่ได้ หรือสำนวนนักข่าวฝรั่งบอกว่า possession not penetration ครองบอลแต่ไม่ยอมยิง
ครองบอลบุกมากกว่าด้วยสัดส่วนของเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าบุกไม่ได้ เจาะไม่เข้า
เท่ากับว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากคู่แข่ง แบบนี้ใครเจอ แมนฯ ยูฯ ก้อเน้นรับแล้วสวนกลับ เน้นรับดีๆ จะคุมพื้นที่ คุมคน มันก็ได้หมด ขออย่าให้ แมนฯ ยูฯ? เจาะได้
ดังนั้นประตูแบบ "โอเพ่น เพลย์" จึงแทบไม่เกิดขึ้น
ประตูแบบ "เซตพีซ" จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุด เหมือนเกมที่แบ่งแต้มกับ เลสเตอร์ ซิตี้
ก่อนว่ากันถึงรายละเอียดเชิงลึกที่แปลงค่าตัวเลขปริมาณเป็นคุณภาพ ย้อนไปสรุปเกมที่พวกเขาทำได้แค่แต้มเดียวกับ เลสเตอร์ ซิตี้
มี 2 เรื่องแง่บวกที่พอมองเห็น อาจจะบวกนิดหน่อยเท่านั้น
1 คริส สมอลลิ่ง ยอดเยี่ยมในงานของเขาในการเล่นตามประกบ เจมี่ วาร์ดี้ ยกเว้นลูกที่เสียประตู มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขามากมายขนาดนั้น เนื่องจากมันเป็นจังหวะเตะมุม เขาอยู่ในเขตโทษเลสเตอร์
จังหวะเป็นใจที่ลูกชาย ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล คว้าบอลได้แล้วรีบปล่อยบอลเร็วให้ คริสเตียน ฟุคส์ ทางขวาของสนาม จังหวะเดียวกันนั้น ทางซ้าย วาร์ดี้รีบสปรินต์พาตัวเองขึ้นไปเติมเพื่อเล่นเกมโต้กลับ แมนฯ ยูฯ เหลือผู้เล่นที่เฝ้าอยู่กลางสนามคือ ดาร์เมียน กับ แอชลี่ย์ ยัง
เป็นธรรมชาติที่ต้องมีนักเตะเฝ้ากลางสนามไว้ในจังหวะเตะมุม 2 คน เพื่อป้องกันการโต้ ส่วนใหญ่ก็เป็นฟูลแบ็กหรือกองกลาง
ประเด็นคือว่า แอชลี่ย์ ยัง ไม่ใช่กองหลังธรรมชาติ การตามประกบวาร์ดี้ในจังหวะโต้นั้น จึงหลวม ปล่อยให้วิ่งตัดเข้าเขตโทษ ถ้าดูจากเทปจะเห็นแล้วตามจริง แต่กลับปล่อย เพราะดันคิดไปเองว่า ดาร์เมียนน่าจะเอาอยู่
จังหวะลงตัวมากๆ
กลับกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นสมอลลิ่งลูกนั้น วาร์ดี้อาจได้ยิง แต่อาจติดบล็อก หรืออาจได้แค่จับบอลแล้วโดนบีบให้ออกไปพ้นเขตโทษ เพราะสมอลลิ่งไม่น่าจะปล่อยให้วิ่งฟรีเข้าเขตโทษ เพราะธรรมชาติกองหลังทราบดีว่าพิษสงกองหน้าในเขตโทษนั้นแรงขนาดไหน
ไม่ใช่เขียนหลังเกม...แต่มองแบบ กองหลังเมื่อต้องไล่ตามประกบกองหน้า ที่ชมคือ ความเร็วและการอ่านเกมของวาร์ดี้ในจังหวะโต้ มันทำให้เขาวิ่งสปีดกว่า 60 หลาจากแดนตัวเองจนถึงเขตโทษ แมนฯ ยูฯ
จังหวะมันแว้บเดียวจริงๆ แต่ตลอดทั้งเกมนั้น สมอลลิ่งประกบวาร์ดี้สนิทครับ เขาทำได้ดีมากๆ
คริส สมอลลิ่ง จับคู่กับ จอห์น สโตนส์ คือความหวังในยูโร 2016 ผมเชื่อว่า รอย ฮ็อดจ์สัน ที่มานั่งดูเกมไม่น่าจะมองต่างจากนี้
2 เมมฟิส เดอปาย ได้รับโอกาสแทนที่ เวย์น รูนี่ย์ และถือว่า ฟาน กัล ใจเด็ดมากที่ตัดสินใจเปลี่ยนรูนี่ย์ออกในครึ่งหลัง และเป็นเพียงแค่เกมที่สองเท่านั้นที่รูนี่ย์โดนเปลี่ยนออกหลังจากไม่มีส่วนกับเกมเลย
แทบไม่มีเลย...
เมมฟิส กับ มาร์กซิยาล สามารถเล่นคู่กันได้ ผมคิดว่าบางทีอาจเป็นแนวทางใหม่ มิติใหม่เพื่อทำให้เกมรุกมันหลากหลายขึ้น
ดร็อปรูนี่ย์เพื่อเกมรุกทางเลือกใหม่
ผมคิดว่ามันเป็นแง่บวกในสองข้อที่ได้จากแต้มเสมอ
มาว่ากันถึงตัวเลขที่แสดงถึงความ "น่าเบื่อ" ของแมนฯ ยูฯ ในยุค หลุยส์ ฟาน กัล กันบ้างครับ เพราะนักข่าวอังกฤษเขาก็ไปเก็บสถิติ 14 นัดแรกในยุคท่านเซอร์ มาเปรียบเทียบว่าเกมรุกนั้นแตกต่างกันชัดมากๆ เพราะตัวเลขมันก็ฟ้องอยู่
ซีซั่น 2011-12 ยิงไป 28 ประตู จากการสร้างโอกาสยิง 231 ครั้ง เข้ากรอบ 75 นั่นเท่ากับแมนฯ ยูฯ ยิงได้เฉลี่ยนัดละ 2 ลูก
ซีซั่น 2012-13 ซีซั่นสุดท้ายของท่านเซอร์ ยิงไป 33 ลูกใน 14 เกมแรกจากการยิง 223 ครั้ง เข้ากรอบ 83 ครั้ง พอมาถึงยุค เดวิด มอยส์ ตัวเลขลดลงเหลือ 22 ลูก สร้างโอกาส 185 ครั้ง เข้ากรอบ 68
ซีซั่นแรกอาจารย์หลุยส์ ดีกว่านิดหนึ่งยิงได้ 24 ลูก สร้างโอกาสได้ 198 เข้ากรอบ 64 และล่าสุดใน 14 เกมที่ผ่านไป ทีมรุกอาจารย์หลุยส์ยิงได้แค่ 20 ลูก สร้างโอกาสน้อยมากแค่ 146 ครั้ง เข้ากรอบ 53 เท่านั้นเอง
นี่คือตัวเลขที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า...เกมรุกฝืดดดดสุด และสุดฝืด
การมาของมาร์กซิยาลในนัดเปิดตัวที่สอยประตูลิเวอร์พูลจากเทคนิคอันยอดเยี่ยม บวกกับการยิงเซาธ์แฮมป์ตันในนัดต่อมา ทำให้ความหวังในการเล่นเกมรุกมีมากขึ้น แต่แล้วถึงจุดนี้ มาร์กซิยาลโดนจับไปเล่นปีกบ้าง ไรบ้าง
จะด้วยความเกรงใจในบารมีของ เวย์น รูนี่ย์ หรืออย่างไรก็แล้วแต่ นาทีนี้ ไรอัน กิ๊กส์ มือขวาของ ฟาน กัล น่าจะเป็นคนช่วยให้คำตอบได้ ในฐานะที่เขาเป็นส่วนสำคัญในเกมรุกยุคยิ่งใหญ่ จะปล่อยให้เกิดการครองบอลโดยไม่ยิงประตูไปอีกนานแค่ไหน
ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในเรื่องการเล่นเกมรุกของ แมนฯ ยูฯ เพราะนี่เข้าฤดูกาลที่สองแล้ว โอเค การครองบอล การเล่นบอลเป็นทรงมีรูปแบบ นั้นแตกต่างจาก เดวิด มอยส์ แน่ๆ แต่ความคาดหวังที่จะเห็นเกมรุกอันจัดจ้าน ทำให้คู่แข่งเกรงกลัวนั้นยังไม่มีเกิดขึ้น
มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง...เพราะเท่าที่เป็นอยู่ โอเค ไม่เสียหายอะไร ยังลุ้นแชมป์ ยังเกาะกลุ่ม แต่มันน่าจะดีกว่านี้หรือไม่ ถ้ามิติเกมรุก โดยเฉพาะการประสานงานของพื้นที่ที่สุดท้ายของพวกเขา มีการเปลี่ยนชุดนักเตะดู
ลองใช้ มาร์กซิยาล, เมมฟิส, มาต้า, เอร์เรร่า, ลินการ์ด, ยัง อะไรเหล่านี้ ลองพักงาน รูนี่ย์ดูบ้างเผื่อเขาจะมีแรงจูงใจ มีลูกฮึดให้กลับมาพิสูจน์ผลงาน เพื่อแฟน แมนฯ ยูฯ ที่อยากเห็นในสิ่งที่ดีกว่า เพื่อแฟนบอลทั่วไปจะได้เห็น แมนฯ ยูฯ เล่นอย่างมีสีสัน บุกสนุก ตื่นเต้น มากขึ้น
เพราะนั่นคือเอกลักษณ์อันโดดเด่นและได้สร้างแบรนด์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้คนทั่วโลกได้ประทับใจมานานแสนนาน
Jackie
ที่มา : siamsport