แมนฯ ยูไนเต็ด ของลุงอ้วนเหน็บชาทำตัวน่าเบื่ออีกแล้วนะครับ
น่าเบื่อเสียจนท่านผู้ชมทางบ้านที่จัดอยู่ในประเภทเด็กผีโรคจิตอยากจะเอาตีนกระทุ้งจอทีวีให้มันพังยับเยินไปเลย
ขณะแฟนบอลเจ้าบ้านบางส่วนที่โรงละครแห่งความดราม่าก็ยกตูดจากเก้าอี้แล้วชวนตีนตัวเองออกจากสนาม ก่อนเกมจะจบถึง 10 นาที เหมือนรู้ว่าต่อให้เล่นอีก 2 วันก็คงจะทะลวงประตูคู่แข่งไม่ได้
จบเกมพร้อมเสียงโห่ดังสนั่นหวั่นไหวในวันครบรอบ 10 ปีที่ตำนานลูกหนังอย่าง จอร์จ เบสต์ จากไป นี่ถ้าเทพบุตรมหาภัยเห็นลูกหลานปีศาจแดงทำตัวน่าเบื่อแบบนี้ เข้าใจว่าวิญญาณปู่คงจะร้องไอ้ลูกหลาน พวกมึงทำแมวน้ำอะไร
เมื่อไม่มีปัญญาเอาชนะพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น นั่นส่งผลให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ต่างจาก อาร์เซน่อล สักเท่าไหร่
คือต้องบุกไปเอาชนะ โวล์ฟสบวร์ก ในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มให้ได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น
หากทำได้แค่เสมอก็ต้องลุ้นให้ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ทำได้แค่เสมอกับ ซีเอสเคเอ มอสโก ในบ้านตัวเองเช่นกัน
ทีมสีหนาทปืนใหญ่หนักกว่าเล็กน้อยตรงที่เอาชนะคู่แข่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีชัยให้ได้มากกว่า 1 ประตู และหากชนะประตูเดียวต้องสกอร์ 3-2 หรือมากกว่าเท่านั้น
แล้วลองนึกถึงคุณภาพของ โอลิมเปียกอส กับ โวล์ฟสบวร์ก ดูนะครับว่าทีมไหนมีมากกว่ากัน?
ขอบอกว่าโอกาสที่ อาร์เซน่อล จะบุกไปชนะมากกว่า 1 ประตู มีมากกว่าโอกาสที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะบุกไปถลกหนังหัวหมาป่าเสียอีก
คิดแล้วก็น่าโมโหแทนผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงยิ่งนัก เพราะ "สวรรค์" กับ "นรก" อยู่ห่างกันแค่นิดเดียว
3 แต้มจะช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ผ่านเข้ารอบต่อไปอย่างแน่นอน ต่อเมื่อทำหล่นหายไป 2 แต้ม โอกาสตกรอบก็แสยะยิ้มพลางยักคิ้วให้อย่างเย้ยหยันทันที!
ถามว่าทำไมพลพรรคปีศาจแดงถึงไม่มีปัญญายัดเยียดความปราชัยให้ผู้มาเยือนจากเนเธอร์แลนด์ ทั้งที่ดูรายชื่อผู้เล่นแล้วก็ไม่เห็นจะน่าขามเกรงอะไร
คำตอบเหมือนเดิมนั่นแหละครับ และมีเพียงแค่ 3 คำ เท่านั้น
หลุยส์ - ฟาน - กัล
ผู้จัดการทีมตกยุควัย 64 นี่แหละครับที่ทำเรื่องไม่น่าจะยากให้มันยากมากขึ้น เหตุเพราะกลัวเสียประตูเกินเหตุ
ลำพังแค่รูปแบบการเล่นที่นำมาติดตั้งให้ลูกทีมมันก็น่าเบื่อและชวนง่วงนอนอยู่แล้ว - เกมรุกก็มาดันไร้ไอเดีย ปราศจากความหลากหลาย และไม่มีลูกพลิกแพลงเลยสักนิด แถมประสิทธิ์ภาพยังมาต่ำเอาในนัดนี้อีกต่างหาก
เมื่อได้ตัวสำคัญอย่าง เวย์น รูนี่ย์ กับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กลับมาจากอาการบาดเจ็บ ลุงอ้วนเหน็บชาปรับระบบจาก 4-2-2-2 กลับมาเป็น 4-2-3-1 เหมือนเดิม
เมมฟิส เดอปาย ได้รับความไว้วางใจให้ลงตัวจริงติดต่อกันเป็นเกมที่ 2 หลังจากนัดล่าสุดกระทุ้งตาข่ายในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แถมยังโชว์ฟอร์มได้ไม่เลวในตำแหน่งกองหน้า ก่อนที่ดาวเตะค่าตัว 25 ล้านปอนด์ผู้นี้จะตอบแทนความไว้ใจของเจ้านายด้วยการเลี้ยงๆ อยู่แล้วก็สะดุดเงาตัวเองหกล้มกับกระชากบอลไปเข้าเหลี่ยมคู่ต่อสู้เกือบทุกจังหวะ
เรียกว่ามักจะแสดงความผิดพลาดออกมาแบบไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น
เกมรุกอันดุดันและการบุกโจมตีอย่างรวดเร็วคือสิ่งที่เด็กผีทุกหมู่เหล่าโหยหา - ไม่ใช่แค่ชัยชนะอย่างเดียวที่พวกเขาต้องการ เพราะนี่คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หาใช่ทีมดาดๆ ที่ไร้รากและไร้ศักดิ์ศรีสักหน่อย
เข้าใจครับว่าการเปิดเกมรุกบุกแหลกมากเกินไป คุณอาจโดนคู่ต่อสู้สวนกลับจนเสียประตูได้ แต่ต่อให้พ่ายแพ้นัดนี้ นัดสุดท้ายก็ต้องบุกไปเอาชนะให้ได้อยู่ดีนั่นแหละ
1 แต้ม กับ 0 แต้ม จึงแทบจะไม่ต่างกันด้วยซ้ำ
ทว่าท่านอาจารย์หลุยส์ผู้ปราดเปรื่องเรื่องปรัชญาก็ยังอุตส่าห์เลือกการใช้วิธีการเล่นแบบสโลว์ไลฟ์ โดยค่อยๆ บุกอย่างสุขุมบนความรัดกุม ซึ่งจะว่าไปก็มีโอกาสมากพอสมควร
ปัญหาคือประสิทธิ์ภาพในการทำประตู
คนที่มีโอกาสมากที่สุดคือ เจสซี่ ลินการ์ด แต่ก็นั่นแหละ คุณจะหวังอะไรกับนักเตะวัยว้าวุ่นและซอยยิกที่เพิ่งถูกส่งลงเป็นตัวจริงเพียงแค่ไม่กี่นัด
เมื่อยังทำลายประตูคู่แข่งไม่ได้ หลุยส์ ฟาน กัล ก็มิได้นิ่งนอนใจและแสดงถึงความพยายามที่จะเอาชนะ
หลักฐานคือการเปลี่ยนตัวที่ค่อนข้างรวดเร็ว คือประมาณนาทีที่ 60 เท่านั้น
ตอนที่ มารูยาน เฟลไลนี่ กับ แอชลี่ย์ ยัง ยืนรอเปลี่ยนตัวอยู่ริมสนาม ผู้ชมทางบ้านอย่างผมเดาว่าคนหนึ่งที่น่าจะถูกถอดออกแน่ๆ คือ เมมฟิส เดอปาย โดยอาจจะถ่างเอา อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หรือ เวย์น รูนี่ย์ ออกไปเล่นทางด้านข้างแล้วให้ "ไอ้ฟู" ลงมาใช้ความสูงใหญ่ให้เป็นประโยชน์
ส่วนอีกคนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็น มัตเตโอ ดาร์เมียน โดยส่ง แอชลี่ย์ ยัง ลงไปเล่นเป็นแบ็กขวา เพื่อสนับสนุนเกมรุกแบบเต็มสูบ
เมมฟิส เดอปาย ถูกกระชากออกไปตามคาด แต่อีกคนคือตัวคุมจังหวะอย่าง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์
อืมมมม...เปลี่ยนตัวแบบนี้เป็นอะไรที่แยบยลยิ่งนัก
ปรัชญาของท่านอาจารย์หลุยส์ช่างลึกล้ำและซับซ้อนจนจับทางไม่ถูกจริงๆ
นับตั้งแต่ "เฮียบาส" สับตีนออกจากสนามไปแบบ "งง-งง" (ว่าถอดกูออกทำหอกอะไร) รูปเกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าฉงน
คือเริ่มตะกุกตะกักและสะเปะสะปะมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับหาจังหวะจบสกอร์ได้น้อยลงอย่างน่าใจหาย
มิเท่านั้นกลับกลายเป็นคู่แข่งที่มีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ
สุดยอดไปเลยครับท่านอาจารย์ เพราะอยู่ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เครื่องสะดุดไปแบบดื้อๆ
สุดท้ายคิดอะไรไม่ออกก็หลับหูหลับตาตะบี้ตะบันโยนยาวไปข้างหน้าเหมือนทีมระดับแชมเปี้ยนชิพ เฉพาะอย่างยิ่ง เวย์น รูนี่ย์ ที่สมควรอยู่ใกล้ประตูคู่แข่งมากที่สุด เผื่อจับพลัดจับผลูมีโอกาสตะบันตูมเดียว
"ชายหมู" กลับถอยตัวเองลงไปยืนแนวเดียวกับแผงแบ็กโฟร์...ซะอย่างนั้น!
ที่สำคัญคือการวางบอลยาวของนักเตะพันธุ์หมูง่อยแดกส์ผู้นี้ก็มีค่าไม่ต่างจากการส่งมอบบอลคืนให้คู่แข่ง
จบเกม หลุยส์ ฟาน กัล ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ทีมตัวเองไม่ชนะเสียยืดยาว ทั้งที่ความจริงมันก็มีอยู่แค่ 2 ประการเท่านั้นเอง
1. ปอดแหก
2. ห่วยแตก
ทั้ง 2 ประการนี้แหละทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะท่ามกลางเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ว่าทำตัวน่าเบื่อและกลัวเสียประตูเกินเหตุ ต่อเมื่อคุณต้องเล่นเพื่อชัยชนะเพียงสถานเดียวเท่านั้น คุณจะต้องทำอย่างไร?
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น วันเสาร์นี้กรุณาเอาตัวรอดออกมาจาก คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ให้ได้ก่อนเถอะครับ
"บอ.บู๋"
ที่มา : siamsport