ถึงแม้ว่ารถที่ชนะการแข่งขันในแต่ละสนามจะยังมาจาก 2 โรงงานใหญ่จากญี่ปุ่น แต่เราได้เห็นการคับเคี่ยวที่กองเชียร์ต้องลุ้นกันตัวโก่งในหลายๆสนาม เรียกได้ว่าซัดกันจนโค้งสุดท้าย Ducati เองก็สามารถขึ้นมายืนบนโพเดี่ยมได้บ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาลที่เกือบจะชนะไปแล้วด้วย Suzuki เข้ามาเติมสีสันให้กับกลุ่มกลางตาราง รถ Satellite จากทั้ง 3 โรงงานต่างก็ขับเคี่ยวกันเพื่อทำอันดับให้ดีที่สุด รวมไปถึงรถในรุ่น Open ที่สลับสับเปลี่ยนกันเป็นผู้ทำอันดับสูงสุดในแต่ละสนามไป แต่เนื่องจากการต่อสู้ในกลุ่มหน้าเกิดขึ้นบ่อยในปีนี้ โชคร้ายเลยตกไปอยู่กับกลุ่มหลังๆที่ซัดกันอย่างมันแต่ไม่มีโอกาสได้ออกหน้าจอ
ทีมใหญ่ทั้ง 5 ทีมได้ line-up เรียบร้อยแล้ว โดยทาง Repsol Honda, Movistar Yamaha Factory, Ducati and Team Ecstar Suzuki ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนักแข่งภายในทีม ขณะที่ Aprilia Racing Team Gresini ที่แยกทางกับ Marco Melandri ไปในช่วงกลางฤดูกาล และได้เซ็นสัญญากับ Stefan Bradl มาขับแทนในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง การทำร่วมงานกันดูแล้วก็น่าจะคลิกกันระดับนึง ถึงแม้ว่าผ่านมา Bradl จะยังเอาชนะเพื่อนร่วมทีมในวันแข่งขันไม่ได้ก็ตาม

และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน Aprilia ก็ได้เซ็นสัญญาฉบับร่างกับ Sam Lowes นักบิดแถวหน้าในรุ่น Moto2 ด้วยระยะเวลายาวถึง 3 ปี ทำให้ทีมต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเอาไงดีกับปีหน้า จนสุดท้าย Aprilia ได้ทางออกที่ถือว่าค่อนข้างโอเคเลยทีเดียวคือปี 2016 Stefan Bradl จะเป็นนักแข่งให้กับทีม ขณะที่แซมจะยังคงอยู่ในรุ่น Moto2 ต่อไปแต่จะย้ายมาอยู่ทีม Gresini Racing และจะใช้เฟรม Kalex เพื่อแย่งตำแหน่งแชมป์โลกอย่างเต็มตัว (ตอนนี้เจ้าตัวใช้เฟรม Speed Up อยู่ซึ่งก็ทำผลงานได้ค่อนข้างดี แต่ยังขาดความแน่นอน มีพลาดล้มค่อนข้างบ่อย) ก่อนที่จะขยับขึ้นมาขี่ Aprilia RS-GP ในรุ่น MotoGP ในปี 2017-2018 (ซึ่งตอนนั้นทั้ง AB19 กับ SB6 ก็หมดสัญญากับทีมทั้งคู่ อาจจะมีใครคนนึงได้อยู่ต่อหรือว่ากอดคอกันไปทั้งคู่ อยู่ที่ผลงานแล้วก็นักแข่งรุ่นน้องที่จะตามขึ้นมาว่าทีมมีตัวเลือกมากน้อยแค่ไหน)
 

การเปลี่ยนแปลงกฎในฤดูกาลหน้ามีการเปลี่ยนแปลง 2 เรื่องใหญ่คือรถทุกคันจะเปลี่ยนมาใช้ Standard ECU และการเปลี่ยนยางจาก Bridgestone ไปเป็น Michelin ส่วนที่กระทบในส่วนของตัวรถมีประมาณนี้
# การเพิ่มปริมาณน้ำมันขึ้นไปเป็น 22 ลิตร ทำให้รถของ Honda กับ Yamaha ต้องปรับขนาดของถังน้ำมันให้ใหญ่ขึ้นหน่อย นอกนั้นยังคงเหมือนเดิม
# เปลี่ยนขนาดวงล้อจาก 16.5 นิ้วไปเป็น 17 นิ้ว




โดยเบื้องต้น Stoner จะยังรับบทบาทแค่นักแข่งทดสอบแต่มีโอกาสที่จะได้ลงแข่งแบบ Wild card โดยเฉพาะที่สนาม Philips Island แต่มีการวิเคราะห์วิจารณ์กันไปมากกว่านั้นว่า ตอนนี้รถ Desmosedici ของ Ducati นั้นไม่ได้ห่างชั้นกับรถของ Yamaha กับ Honda เหมือน 4-5 ปีก่อนแล้ว เพียงแต่ทีมต้องการนักบิดระดับเอเลี่ยนมาขี่ให้ พูดกันตรงๆก็คือโดวิยังมือไม่ถึงนั่นเอง การดึงบักหินมา นอกจากจะเป็นการทดสอบความสามารถของรถแล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เจ้าตัวอาจจะเปลี่ยนใจกับมาแข่งแบบเต็มฤดูกาลอีกครั้งก็ได้ เนื่องจากกฎเรื่อง ECU ที่เปลี่ยนไป ระบบอิเล็กทรอนิกส์อาจจะส่งผลกับการแข่งน้อยลงซึ่งเป็นจุดที่สโตนเนอร์ไม่ค่อยชอบ (เค้าเคยบอกว่าขอรถแรงๆซัก 300 แรงม้ากับตัดระบบ Electronic ออกไป อาจจะกลับมาแข่ง) ซึ่งช่วงเวลามันค่อนข้างจะพอเหมาะพอเจาะพอดีถ้าหากคุณพ่อลูกหนึ่งเมียสวยชาวจิงโจ้จะกลับมาแข่งในปี 2017