ธนาคารโลก ประเมิน GDP ไทยปี 58 โต 2.5% จากใช้จ่ายภาครัฐ-ท่องเที่ยว คาดการณ์ ปี 59 โต 2%- ปี 60 ขยายโต 2.4% เหตุ ศก.จีนยังซบเซา ...

เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ธนาคารโลก ประเมินเศรษฐกิจไทย ปี 58 จะขยายตัวได้ราว 2.5% จากการใช้จ่ายภาครัฐ และรายรับจากการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างเข้มแข็ง หากเสถียรภาพทางการเมืองปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ในปี 59 คาดการณ์ GDP ไทยขยายตัว 2% และในปี 60 ขยายตัวได้ 2.4% เป็นผลจากเศรษฐกิจจีนยังคงซบเซา และเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ยังชะลอตัว

ขณะที่ประเมินการส่งออกของไทยปีนี้ ขยายตัวได้ 0.8% จากนั้นในปี 59 จะเติบโตราว 1.8% และ 1.3% ในปี 60 โดยเชื่อว่าการส่งออกจะยังคงอ่อนแอ มูลค่าการส่งออกในรูปสกุลดอลลาร์จะขยายตัวต่ำกว่า 1% เนื่องจากสินค้าส่งออกหลักลดลง และอุปสงค์จากประเทศจีนและอาเซียนที่อ่อนแอลง

นายชาบีห์ อาลี โมฮิบ ผู้นำกลุ่มงานด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง การเงิน และสถาบันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และแปซิฟิก ธนาคารโลก ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตช้าสุดในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากมีความท้าทาย จากการที่ไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดมากและมีการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จึงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวส่งผลโดยตรงต่อความต้องการด้านการค้าขายของตลาดโลก


ทั้งนี้ ประกอบกับเทคโนโลยีด้านการผลิตยังไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติม ทำให้สินค้าไทยไม่สอดคล้องกับความต้องการตลาดโลก ดังนั้น มองว่าไทยควรให้ความสำคัญอย่างจริงจังและยั่งยืนกับประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากร แรงงานให้สูงขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับปรุงและลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง


"World Bank มองว่า ไทยจะเติบโตได้ในอนาคตขึ้นอยู่ภายใต้ 3 ประเด็นหลัก ซึ่งถือเป็น New Normal ของไทย คือ 1. การบูรณาการเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นแง่ดีให้กับการค้าและการส่งออกของไทย 2. การให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีการพัฒนาระบบการศึกษา เพื่อให้แรงงานมีความรู้เพิ่มขึ้น และ 3. การบูรณาการเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจไทยในอนาคตยังเติบโตขึ้นได้ ส่วนที่มองว่า GDP ปีหน้าและปีถัดไปขยายตัวลดลงจากปีนี้ เพราะการดำเนินมาตรการของรัฐในช่วงนี้จะมีผลต่อ GDP ในช่วงสั้นเท่านั้น ดังนั้นถ้าต้องการให้มีการเติบโตในระยะปานกลางขึ้นไป รัฐบาลต้องกลับมาดู 3 ประเด็นดังกล่าว" นาย ชาบีห์ อาลี โมฮิบ ระบุ


สำหรับการคาดการณ์เรื่อง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มองว่าปัจจัยดังกล่าว จะยังมีความเสี่ยงที่ตลาดการเงินตอบสนองอย่างรุนแรงต่อมาตรการนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาตลาดจะมีการคาดการณ์และดำเนินการปรับตัวรองรับกับประเด็นดังกล่าวไปแล้วก็ตาม ซึ่งอาจจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง เกิดภาวะเงินทุนไหลเข้าลดลงและสภาพคล่องในตลาดลดลงด้วย


http://www.thairath.co.th/content/530067

งงมากทำไมกราฟไทยโฟสต์มันบรูในต่ำสุด

สรุปใครต่ำสุด แต่บรูไนไม่น่าแปลก เจอราคาน้ำมันต่ำแบบนี้ X-m คงติดลบ

มันจะเอาอะไรมาโตพรวดๆ แบบแต่ก่อน ก็พวกพี่เล่นสูบทรัพยากรจนเกือบเหี้ยน ต่อไปก็ย้ายไปเวียตนาม กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย พม่า ซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ค่าแรงต่ำให้พวกท่านสูบต่อ

เพื่อนบ้านเราสงสัยไม่ได้รับผลกระทบจาก ศก.โลก ถึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนไทยเราได้ผลกระทบจาก ศก.โลก

สิงโปร์ออกจากอาเซียนไปอยู่ยูโรโซนตั้งแต่เมื่ิอไหร่

พม่าน่าจะยังโตต่อเนื่อง หลังรัฐบาลทหารยอมเปิดประเทศทีละนิด แถมทรัพยากรเหลือให้ เข้าไปลงทุนอีกเพียบ

สรุปสั้นๆให้ทีได้มั้ยงับ เมา

ผมเข้าใจว่า (จากกราฟนะครับ) ปี57-58 ของไทย ตั้ง 5.28 เท่าเลยนะ

เศรษฐกิจไม่ดีครับ

ข่าวเมื่อเมษา

ออกได้ละ

ไม่ออกออกแล้วจะเอาอะไรกินอะ

หลักๆเลยที่คิดว่าต้องแก้ไขคือไทยพึ่งพาการส่งออกมากเกินไปและเป็นแบบนี้มานานนับ10ปีแล้วด้วย โดยมาตรวัดของเว็บไซด์ธนาคารโลกก็ปรากฏมาตลอดว่าไม่ต่ำกว่า70% ของซึ่งถือว่าสูงมากๆถ้าหากเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหราชอาณาจักร, อเมริกา หรือญี่ปุ่นที่อัตราปรากฏอยู่ที่ไม่เกิน30% มีประเทศเยอรมันที่ส่งออกสูงอยู่แต่ก็อยู่ที่ราวๆ40% ( http://data.worldbank.org/indicator/NE.EXP.GNFS.ZS ), เว็บ tradingeconomics บอกว่า "Thailand is an export oriented economy with exports accounting for around 65 percent of the GDP"(ประเทศไทยเป็นประเทศที่มุ่งเน้นไปที่การส่งออกโดยมีอัตราการส่งออกอยู่ที่ประมาณ65เปอเซนต์ของGDP) ( http://www.tradingeconomics.com/thailand/exports )

เมื่อไทยส่งออกมากเกินไป พอศก.ทั่วโลกเริ่มไม่ดี ประเทศต่างๆก็เริ่มมีการนำเข้าน้อยลง ซึ่่งไทยรับผลกระทบไปเต็มๆ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือรบ.ไทยเห็นว่า ศก.เริ่มแย่เพราะส่งออกลดลงอย่างมาก เพื่อสนับสนุนการส่งออก ก็เลยมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยธนาคารซึ่งผลที่ตามมาก็คือทุนต่างชาติเริ่มไหลออกเพราะฝากเงินที่ไทยได้ดอกเบี้ยน้อย อันนี้เลยเป็นสาเหตุให้เงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว จากที่ดอลล่าร์ละ29บาท ตอนนี้พุ่งไปถึง36บาท

แต่การเดินหมากกลับผิดพลาด ผลก็คือส่งออกก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย ในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาให้กับธุรกิจนำเข้าซึ่งต้องจ่ายแพงขึ้น มีเพียงแค่การท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นแต่ท่องเทียวก็อย่าลืมว่าคนต่างชาติก็มาเที่ยวได้แค่ช่วงซีซั่นที่เขาว่าง

ปัญหาเพิ่มเติมที่ตามมาอีกก็คือธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แช็งไทยก็ถูกแบนโดยยุโรปเพราะเหตุประมงผิดกฎหมายอีก ไหนจะเรื่องปัญหาการบินพลเรือน ไหนจะเรื่องสิทธิพิเศษทางศุลการกรของไทยที่หมดอายุและยุโรปไม่ต่ออายุให้อีก(ซึ่งในส่วนนี้บางคนวิเคราะห์ว่าเป็นเกมการเมืองจากฝั่งตะวันตกที่ต้องการบีบรัฐบาลทหารไทยด้วย เพราะเมื่อบีบจนศก.ไทยย่ำแย่แล้ว สุดท้ายประชาชนก็จะโค่นรบ.ทหารนี้ลงเอง)

พอเรื่องหลายๆนี้มาประกอบกันส่งออกไทยเลยแทบจะพังพินาศกันไปเลยทีเดียว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของศก.ไทย

ปัญหาอีกเรื่องนึงก็คือเรื่องนักลงทุนไหลออกอีก และรบ.ทหารก็ยังจะไปออกนโยบายที่ส่งเสริมการย้ายฐานการลงทุนอย่างเช่น single gateway อีก

ตอนนี้ก็ได้แต่หวัง หวังอย่างเดียวว่าไทยจะก้าวผ่านจุดนี้ไปได้ ที่จริงผมเชื่อมือทีม ศก.ชุดใหม่นี้นะที่นำโดย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพราะตั้งแต่เข้ามาเขาก็มองจุดออกเลยว่าไทยพึ่งการส่งออกมากเกินไป เราต้องปรับกลยุทธใหม่ ต่างกับหม่อมอุ๋ยที่ไปทำทุกอย่างเพื่อให้ส่งออกกลับมาดีขึ้น แต่ปัญหาหลักเลยคือ "นี่คือรัฐบาลทหาร" ยังไงต้องมีใบสั่งอยู่แล้วผมเชื่อว่างั้น

ปล. ข้อมูลอะไรผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยเพราะผมไม่ใช่นักเศษรฐศาตร์ แต่เป็นนักกฎหมายธุรกิจคนนึงเท่านั้น

หลักๆเลย พวกพี่

"กินกันพอรึยัง"

ประเทศอื่นรอบๆเราก็พึ่งส่งออกครับ เป็นเรื่องปรกติมากสำหรับประเทศที่เป็นฐานการผลิตให้ประเทศเจริญแล้ว

แต่ขีดความสามารถในการแข่งขันเรากำลังถดถอยมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

บ้านเรากำลังเข้าจุดอิ่มตัวของพวก Emerging Country ต้นทุนที่สูงขึ้น คนวัยทำงานที่น้อยลง ประเทศเพื่อนบ้านกำลังปรับตัวเพื่อเข้ามาแทนที่เราด้วยค่าแรงที่ถูกกว่า ทรัพยากรสดกว่า คนวัยทำงานจำนวนมากกว่า ไม่แปลกใจที่ต่างชาติเลยย้ายไปลงทุนในรอบๆบ้านเราแทน แล้วเอาไทยเป็นศูนย์บัญชาการในการควบคุมเอาเพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ของอาเซียน

เรื่องธรรมดาครับ ผมว่าพวกมาเล อินโด น่าจะหนักกว่าเรานะในระยะยาว เพราะพวกนี้เศรษฐกิจพึ่งน้ำมันกะยางเยอะ ซึ่งราคาห่วยแตกทั้งคู่ ใหนจะปัญหาการเมืองรุมเร้าอีก โชคดีที่ยังมีนักลงทุนต่างชาติหนีจากไทยไปลงทุนบ้างก็เลยพอทรงๆ

พวก CLMV (เวียดนาม ลาว กับพูชา พม่า) น่าจะพุ่งแรงสุด เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศพวกนี้ไม่ค่อยมีอะไร เลยมีโอกาศให้ลงทุนเยอะ โดยเฉพาะเวียดนามที่มีปัจจัยเอื้อหนุนในการลงทุนมากมาย และเป็นลูกหม้อของเมกาตอนนี้

ไทยจะก้าวกระโดดได้อีกทีต้องรอรถไฟรางคู่เสร็จก่อนหนะครับ ความเจริญมันจะขยายออกไปต่างจังหวัดทำให้เกิดการพัฒนาในรอบทิศ ไม่ได้กระจุกแค่ในไข่แดงกรุงเทพ ตอนนี้ที่มันโตยากเพราะอะไรๆ ก็ลงที่กรุงเทพจนมันไม่มีที่จะโตแล้ว

เรากำลังเป็น AEC ครับต้องรอให้ฐานศก.ทุกประเทศเท่ากันก่อนไม่งั้นอาจจะเกิดปัญหาแบบอียูได้

เทียบเพื่อนบ้านเป็นอัตรา % นี่สู้ไม่ได้อยู่แล้วครับ โดยเฉพาะพวกพม่า เขมร ลาว เนี่ยมันพวกเกิดใหม่จากไม่มีอะไรเลย ระบบอะไรหลายๆอย่างก็ยังไม่ดีด้วยซ้ำ


แถมพวกนี้เสถียรภาพในการทำธุรกิจห่วยกว่าเราเยอะ....ยังเป็นระบบเส้นสาย เจ้าพ่อ ทหารอยู่เลย