วิเคราะห์การตลาดของหนัง GTH
ปัจจุบัน ยอมรับกันในวงกว้างว่า แบรนด์ GTH สามารถการันตีคุณภาพหนังได้ในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะหนังแนวไหน ตลก รัก ผี ทุกเรื่องสามารถการันตีได้ว่า จะประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ (แม้หลังๆ จะมีแต่รายได้ก็ตาม
)
ผมลองมาคิดดู อะไรทำให้หนังทุกเรื่องของค่ายนี้ เจาะตลาดได้ทุกครั้งที่มีข่าวการสร้างหนังแต่ละเรื่อง อะไรที่เหมือนค่ายอื่นยังขาดอยู่ ผมลองคิดดูแล้ว ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะ
การค้นคว้าข้อมูลก่อนทำหนัง
สังเกตหนังแต่ละเรื่องที่ผ่านมาของ GTH จะเป็นการลงลึกในการสำรวจอาชีพการงานทั้งนั้น และที่ต้องชื่นชมคือ ข้อมูลที่ค้นคว้ามา แน่นมากๆ ไม่ค่อยผิดพลาดเลย
ไล่ตั้งแต่
รถไฟฟ้า มาหานะเธอ (ปี 2552) การลงไปสำรวจชีวิตของวิศวกรเจียรางของรถไฟฟ้า และนำมาผูกจนเป็นหนังโรแมนติกมากเรื่องหนึ่ง
บ้านฉัน ตลกไว้ก่อนพ่อสอนไว้ (ปี 2553) ชีวิตของดาวตลกอาชีพ ที่หากินอย่างสุจริตตามร้านหมูกระทะ ผู้มีความฝันจะออกทีวีสักครั้ง และการหาทายาทคณะตลกต่อไป
ลัดดาแลนด์ (ปี 2554) ชีวิตของนักลงทุน ผู้ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง สวนทางกับกระแสเศรษฐกิจที่นับวันยิ่งแย่ และการประคับประคองชีวิตครอบครัว
เอทีเอ็ม เออรักเออเร่อ (ปี 2555) ชีวิตของพนักงานธนาคาร (เรื่องนี้ประเด็นเบาหน่อย เพราะทำเป็นหนังตลก ไม่ได้ลงลึกถึงชีวิตหนุ่มสาวธนาคารขนาดนั้น)
คิดถึงวิทยา (ปี 2556) หนังเล่าถึงชีวิตครูต่างจังหวัด หนังเทอดทูนครูในดวงใจเรื่องหนึ่งเลย
ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ (ปี 2558) หนังเล่าถึงสองอาชีพที่ไม่น่ามาเจอกันได้อย่างฟรีแลนซื อาชีพกราฟฟิคดีไซน์เนอร์อิสระ กับหมอโรงพยาบาลรัฐ
ผมว่านี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ค่ายนี้ประสบความสำเร็จได้ตลอด เพราะประเด็นที่นำมาเล่าต่างๆ มันล้วนใกล้ตัว ไม่ใช่เรื่องที่เรารู้สึกว่า จะเก็ตมั้ย
ทำให้เรารู้สึกอยากดู เหมือนเราไปดูอาชีพเรา ตัวตนเราที่สะท้อนขึ้นบนจอหนังมากกว่า
ยาวไปนิดนะครับ ติชมได้