Wall-E (2008), Andrew Stanton
ส่วนตัวมองว่าเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ดีที่สุดของพิกซาร์ บทหนังแข็งแรงในทุกประเด็น ตั้งแต่ความเป็นไซไฟ-ดิสโทเปียที่โหดสัสมากๆ โลกที่ล่มสลายด้วยน้ำมือมนุษย์ ภาพตึกสูงถูกแทนด้วยขยะอัดก้อนต่อๆกันโดยหุ่นยนต์เก็บขยะ(Wall-E) มนุษย์ไปใช้ชีวิตอยู่บนยานอวกาศที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างในระดับที่ไม่ต้องมีการขยับตัวแม้กระทั่งหยิบแก้วน้ำ ใส่ชุดแดงๆ อ้วนฉุ ดุ๊กดิ๊กๆ ช่างเป็นภาพที่น่าสลดหดหู่ใจจริงๆภายใต้งานภาพสวยๆ(หนังได้ Roger Deakins สุดยอดผู้กำกับภาพมาเป็นที่ปรึกษาเรื่องงานด้านภาพด้วย) ผมเลยมองว่า Wall-E เป็นการ์ตูนของพิกซาร์ที่มีเนื้อหาผู้ใหญ่ที่สุดแต่จะยังไงการ์ตูนทุกเรื่องของพิกซาร์นั้นมีภาษาหนังที่เรียบง่ายมากๆ คนดูทุกเพศทุกวัยจึงจูนกับหนังได้ด้วยใจไม่ใช่สมอง สามารถตกหลุมรักตัวละครทุกตัวโดยไม่ต้องฝืนใจ Wall-E ก็เป็นอีกเรื่อง ที่มีการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายและยังขาวสะอาดเหมือนการ์ตูนเด็ก กระทั่งในแง่ของความโรแมนติก
วันหนึ่งขณะ Wall-E กำลังเก็บขยะก็มีหุ่นยนต์สุดไฮเทค(EVE)ที่ได้รับภารกิจมายังโลกเพื่อตามหาพืช เป็นจุดเริ่มต้นของความโรแมนติกที่ผมหลงใหลมากๆ อย่างที่บอกพิกซาร์เล่าเรื่องผ่านภาษาหนังที่เรียบง่ายสุดๆ เพียงภาพ Wall-E หยิบของสะสมให้ EVE ดู เปิดเพลงให้ EVE ฟัง ก็แสดงความโรแมนติกน่ารักๆโดยไม่ต้องมีไดอล็อกใดๆ ยิ่งตอนที่ EVE หาพืชเจอแล้วแสตนด์บาย การแสดงออกของ Wall-E (พยามจับมือ กางร่มให้ EVE จนตัวเองโดนฟ้าผ่า เกาะยานตาม EVE ไปเพื่อช่วย ฯลฯ) ทำให้เกิดเป็นภาพความโรแมนติกที่น่าจดจำที่สุดไม่แพ้หนังคลาสสิคเรื่องใดๆ การแสดงออกของ EVE ที่มีต่อ Wall-E ก็ด้วย คอหนังโรแมนติกอย่างผมสลบคาจอไปเลย แค่พล็อตเรื่องหลักก็แสดงถึงความสมบูรณ์แบบของตัวบทแล้ว
ที่หลงใหลไม่แพ้กันคือการเล่าเรื่อง เป็นการ์ตูนพิกซาร์ที่มีการเล่าเรื่องเป็นเอกลักษณ์มาก ด้วยว่าตัวละครหลักเป็นหุ่นยนต์จึงมีบทพูดน้อยและการเล่าเรื่องสไตล์ Silent Film ใช้การแสดงออกของตัวละครเป็นหลัก ผู้กำกับ Andrew Stanton ทำการบ้านมาดี เคยอ่านผ่านๆมาว่าผู้กำกับศึกษาการเล่าเรื่องแบบหนังเงียบโดยการดูหนังของ Charles Chaplin กับ Buster Keaton ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังถึงมีเสน่ห์กับกลิ่นอายของหนังเงียบ จังหวะโรแมนติกทำให้ต้องนึกถึง City Lights กับ Thriller ท้ายเรื่องทำให้นึกถึง The General บทหนังที่สมบูรณ์แบบแถมยังร่วมสมัยผ่านการเล่าเรื่องแบบนี้ยิ่งส่งเสริมหนังให้มีความคลาสสิคขึ้นไปอีก
ดูรอบที่ 5 ก็ยังคงประทับใจเช่นเดิมและเชื่อเลยว่าจะดูอีกกี่รอบก็ยังคงประทับใจ เป็นงานระดับมาสเตอร์พีซอีกเรื่องของศตวรรษที่ 21 จึงไม่สมควรพลาดชมอย่างยิ่ง ใครยังไม่ได้ดูนี่ต้องบังคับให้ดูเลย