พ่ายแพ้ให้กับ 3-4-3 ของ FC Basle
ย้อนกลับไปในค่ำคืน champions leagueที่ลิเวอร์พูลออกไปเยือนบาเซิล คืนนั้นเปาโล ซัวซ่าต้องทำการปรับแทคทิคตั้งแต่นาทีที่4ของเกม
จากการบาดเจ็บของซาฟารี่(แบ็กซ้าย) ทำให้ซัวซ่าปรับมาเล่นในระบบหลัง 3 โดยส่ง เดอลิส กอนซาเลส(กลางรุก)มาเล่นเป็นวิงแบ็คขวา
นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกในฤดูกาลที่ร็อดเจอรส์ต้องรับมือกับแผน 3-4-3 และอย่างที่รู้ๆกัน หงส์แดงก็ถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้ไปตามระเบียบ
แผนเดิมไม่เวิร์คอีกต่อไป
หลายๆคนคงยังพอจำกันได้ว่าช่วงนั้นร็อดเจอรส์กำลังโดนกดดันอย่างหนัก นอกจากฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่แล้วยังมีเรื่องของ
การหาตำแหน่งที่ลงตัวให้กับสตีเว่น เจอร์ราด รวมถึงความผิดพลาดในการซื้อตัวบาโลเตลลี่ แฟนหงส์แดงหลายคนเริ่มหมดศรัทธาในตัวเขา
จนถึงขนาดมีการยกความดีความชอบของผลงานอันสุดยอดของฤดูกาลที่แล้วให้แก่ระบบซัวเรส
ร็อดเจอรส์ออกสตาร์ทช่วงต้นฤดูกาลด้วยระบบที่เขาถนัด ระบบที่เขาฝึกฝนวิชามาตั้งแต่สมัยคุมเรดดิ้งและสวอนซี นั่นคือ 4-3-3หรือ4-2-3-1
จนกระทั่งช่วงท้ายฤดูกาลที่แล้วเราได้เห็นแผน 4-4-2 ไดม่อนซึ่งให้กำเนิดคู่หัวหอกเจ้าของฉายา SAS นั่นเอง
การจากไปของคู่หัวหอก SAS ทำให้ร็อดเจอรส์ต้องกลับมาใช้ระบบที่เขาถนัดอีกครั้ง แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างซึ่งผมคงไม่พูดในหัวข้อนี้ ระบบพวกนั้นมันไม่เวิร์คอีกแล้ว ร็อดเจอรส์จึงจำเป็นต้องแสดงความเป็นอัจฉริยะลูกหนังของเขาอีกครั้ง
เชื่อว่าร็อดเจอรส์ยังคงจำได้ดีว่าการรับมือกับระบบ 3-4-3 นั้นมันยากขนาดไหน และมันคงมีส่วนไม่มากก็น้อย ทำให้เขาตัดสินใจทดลองใช้แผนนี้ และคงไม่มีแมตช์ไหนจะเหมาะสำหรับการทดลองแผนไปกว่าเกมแดงเดือด
ถึงแม้เกมจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 3-0 แต่เชื่อว่ามันคงเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าพอใจที่สุดสำหรับร็อดเจอรส์ เพราะระบบนี้สามารถตอบโจทย์สิ่งที่ลิเวอร์พูลขาดไปในครึ่งฤดูกาลแรกได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือความเร็วในแดนหน้า ด้วยการสนับสนุนจากคูคินโญ่และลัลลาน่า
ทำให้สเตอร์ลิ่งมีโอกาสจบสกอร์มากกว่านักเตะทุกคนในสนาม ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีมาก
และหลังจากนั้น คงไม่ต้องแปลกใจกับสถิติไม่แพ้ใครเลยในลีคตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา
เริ่มถูกจับทางได้ ???
ถึงแม้สถิติจะดูดีมากๆก็ตาม แต่หากเรามองดูรูปเกมในช่วง 3 นัดหลังสุด เชื่อว่าแฟนๆหงส์แดงก็คงจะไม่พอใจเท่าไหร่แน่
เริ่มจากแบล็คเบิร์นของแกรี่ โบวเยอร์ที่บุกมาหยุดความร้อนแรงของหงส์แดงถึงแอนฟิลด์
โบวเยอร์นั้นรู้ดีว่าจุดแข็งของลิเวอร์พูลคือการขึ้นเกมจากแดนหลัง แต่ในทางตรงกันข้าม นั่นอาจจะแปลได้ว่า
ลิเวอร์พูลมีทางขึ้นเกมบุกได้แค่ทางเดียวเท่านั้น สิ่งที่โบวเยอร์ต้องทำก็คือ ปิดทางขึ้นเกมนั้นซะ บีบให้ลิเวอร์พูลขึ้นเกมได้ช้า
หรือต้องเลือกที่จะโยนยาว (ซึ่งเป็นจุดอ่อน)
ขณะตั้งรับโบวเยอร์จะขยับสองมิดฟิลด์ลงไปประกบคูตินโญ่และลัลลาน่าแล้วใช้สองศูนย์หน้าถอยลงมาประกบชานและเฮนโด้
ซึ่งนับว่าได้ผลมากทีเดียว ตลอดทั้งเกมลิเวอร์พูลขึ้นได้บอลช้ามาก กว่าบอลจะไปถึงสเตอร์ริดจ์ก็แทบไม่มีพื้นที่ให้เล่นแล้ว
เนื่องจากระบบของร็อดเจอรส์มีตัวริมเส้นแค่ตัวเดียวก็คือวิงแบ็ค โบวเยอร์จึงจัดแผนที่มีตัวริมเส้น2ตัว
ทำให้ตลอดทั้งเกมสเตอร์ลิ่งและลัลลาน่าต้องโดนรุม 2 ตลอด ขณะเดียวกันสเตอร์ริดจ์ก็ถูกคู่เซ็นเตอร์คอยสลับกันมาประกบตลอด
ย้อนกลับไปในเกมแดงเดือดนัดแรกของฤดูกาล เป็นครั้งแรกที่ร็อดเจอรส์ใช้แผน 3-4-3 ในเกมนั้นเราได้เห็นวิงแบ็คทั้งสองข้างของลิเวอร์พูลสร้างความผิดพลาดในการเล่นเกมรับตลอดทั้งเกมจนเป็นที่มาของประตู1-0และ2-0
โดยเฉพาะโมเรโน่ ที่ดูจะไม่เข้าใจบทบาทของตัวเองในเกมรับ อย่างเช่นจังหวะนี้โมเรโน่หลุดตำแหน่ง ทำให้มิดฟิลด์ของหงส์แดง
เจอร์ราดและอัลเลนต้องขยับออกมาปิดพื้นที่ จนทิ้งที่ว่างตรงกลางให้รูนี่ย์วิ่งเข้ามายิงสบายๆ
จากแดงเดือดนัดแรกจนมาถึงนัดที่สอง แน่นอนว่าเราคาดหวังที่จะเห็นพัฒนาการในจุดนี้ แต่ไม่เลย โมเรโน่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความอ่อนเกมรับ จังหวะนี้สังเกตจะเห็นว่าสเตอร์ลิ่งในตำแหน่งวิงแบ็คขวาเติมสูงมาก ทำให้3เซ็นเตอร์ของลิเวอร์พูลของขยับไปปิดพื้นที่
และก็เป็นโมเรโน่อีกแล้วที่ดันสูงเปิดพื้นที่ให้มาต้าเล่นง่ายๆ แต่ทั้งหมดนี้ใช่ความผิดของเขาจริงหรือ ?
เคยมีการวิเคราะห์เอาไว้ว่าด้วยระบบ 3-4-3 ขณะตั้งรับวิงแบ็คสองข้างจะลงมาช่วยเกมรับ ทำให้กลายเป็นหลัง5คน ซึ่งในทางทฤษฎีมันฟังดูดีมากๆเลยทีเดียว แต่ในความเป็นจริงก็อย่างที่ได้ยกตัวอย่างให้เห็นกันแล้ว ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีวิงแบ็คกี่คนบนโลกนี้ที่เล่นได้ทั้งรุกและรับโดยไม่สร้างความผิดพลาดเลยตลอดทั้งเกม
สิ่งที่ต้องพิจารณาคือในระบบ 3-4-3 ของร็อดเจอร์ มิดฟิลด์ตัวรุก2คนจะเน้นคุมพื้นที่ตรงกลางสนามมากกว่า นั่นทำให้พื้นที่ด้านข้างทั้งหมดจะมีวิงแบ็ครับผิดชอบคนเดียวทั้งรุกและรับ ให้เห็นภาพมากขึ้นต้องบอกว่าวิงแบ็คยามบุกก็ต้องเจอกับแบ็คและปีกของฝั่งตรงข้ามที่ลงมาช่วยรับ ยามตั้งรับก็ต้องประกบทั้งปีกและแบ็คที่เติมเกมบุก ไม่ใช่งานง่ายเลยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อคุณเอานักเตะอย่าง สเตอร์ลิ่ง มาร์โควิช ที่เป็นตัวรุกแถมยังอ่อนประสบการณ์ไปรับผิดชอบหน้าที่แบบนั้น
ซึ่งผมเชื่อว่าร็อดเจอรส์รู้ถึงปัญหานี้ดี แต่น่าเสียดายที่หลายๆครั้งเขาตัดสินใจแก้ไขปัญหานี้โดยการเปลี่ยนวิงแบ็คออก แล้วเอาคนใหม่ไปเล่นแทน ผมคงไม่กล้าบอกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิด แต่มันเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือเปล่า
จังหวะนี้จะเห็นว่าพื้นที่รับผิดชอบของมาร์โควิชถูกโจมตีโดยปีกและแบ็ค มาร์โควิชกำลังประกบแบ็คอยู่ ทำให้จอห์นสันต้องขยับออกมาช่วยประกบปีก แต่ดันพลาดทำให้ปีกแบล็คเบิร์นหลุดไป ตูเร่ต้องขยับออกมาช่วยกันอีกคน ตอนนี้จะเห็นว่าเซ็นเตอร์2จาก3คน หลุดตำแหน่งออกมาช่วยเกมรับริมเส้นกันหมด เหลือลอฟเรนคนเดียว ถามว่าจังหวะนี้เป็นเพราะความกากของมาร์โควิชรึเปล่า ก็อาจจะใช่แต่ไม่ทั้งหมด
ในสถานการณ์แบบนี้คุณคาดหวังให้ดาวรุ่งที่เล่นในตำแหน่งตัวรุกทำได้ดีขนาดไหนล่ะ
ความหลากหลายน้อยเกินไป
หากสังเกตดูอีก จะเห็นได้ว่าคู่มิดฟิลด์และวิงแบ็คของหงส์แดงจะมีหน้าที่เพียงช่วยลำเลียงบอลเท่านั้น
เกมรุกทั้งหมดจะตกไปอยู่ที่กลางรุก2คน ซึ่งก็มักจะใช้บอลทะลุช่องในการโจมตีเป็นหลัก โดยเป้าหมายมีเพียงศูนย์หน้าคนเดียว
ทำให้เกมรุกของลิเวอร์พูลถูกจับทางได้ง่ายมาก
ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว หลายๆครั้งลูกทีมของร็อดเจอรส์ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อทีมฝั่งตรงข้ามวางแผนมาจัดการกับระบบของร็อดเจอรส์ได้ แต่สิ่งที่พวกเขามีในฤดูกาลที่แล้วคือ 'ความหลากหลาย' นอกจากลูกโอเพนเพลย์แล้ว ลิเวอร์พูลยังมีทีเด็ดจากลูกเซทพีซ
ฟรีคิกโดยซัวเรสและเจอร์ราด เตะมุมโดยเจอร์ราด รวมถึงจุดโทษเช่นกัน หงส์แดงเป็นทีมที่ได้จุดโทษมากที่สุดในฤดูกาลที่แล้ว(12ครั้ง) ไม่ใช่เพราะพุ่งล้มเยอะแต่อย่างใด แต่ด้วยการที่มีสามแนวรุกอย่าง ซัวเรส สเตอร์ริดจ์ สเตอร์ลิ่ง พวกนี่้เป็นจอมลากเลี้ยงที่ทะลุทะลวงได้ดี
จึงไม่แปลกที่จะถูกทำฟาวล์ในเขตโทษเยอะ
แต่กลับกันในฤดูกาลนี้กลางรุก2คน ทำหน้าที่เป็นตัวซัพพอร์ตมากกว่า ทิ้งให้ศูนย์หน้าโดนประกบอยู่คนเดียว ทำให้โอกาสได้จุดโทษน้อยลงไปด้วย ตัวยิงฟรีคิกอย่างเจอร์ราดก็นั่งสำรองซะส่วนใหญ่ คนที่พอจะยิงได้อย่างบาโลเตลี่ก็สำรองเช่นกัน จึงไม่เหลือมือยิงฟรีคิกในสนามเลย ส่วนการเตะมุม เมื่อไม่มีเจอร์ราดอยู่ในสนามก็ไม่มีใครเปิดได้แม่นพอ เตะมุมกลายเป็นเตะทิ้งขว้างไปซะหมด
อีกสิ่งนึงที่ลิเวอร์พูลในยุคของร็อดเจอรส์ขาดมาตลอดคือการยิงไกล แน่นอนโดยเฉพาะจากแดนกลาง
ซึ่งชุดนี้ถึงแม้จะนับรวมเจอร์ราดก็ยังนับว่าเป็นจุดอ่อน จริงอยู่ที่มันเริ่มมีสัญญาณดีๆจากลูกยิงไกลของคูตินโญ่และเฮนโด้
แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทีมต้องการลูกยิงไกลมากที่สุดอย่างเกมกับสวอนซีหรือแมนยู
รักษาเส้นทางลุ้นท็อปโฟร์
หากยังอยากรักษาเส้นทางการติดท็อปโฟร์เอาไว้ ร็อดเจอร์มีทางเลือกไม่มากเลยจริงๆ แต่เชื่อว่าอาร์แซน เวนเกอร์
กำลังศึกษาวิธีการเล่นของทีมที่สามารถหยุดแผน 3-4-3 ของร็อดเจอรส์อยู่แน่ๆ แฟนๆหงส์แดงก็คงได้แต่ภาวนาว่าหลังช่วงเบรคทีมชาตินี้
ร็อดเจอรส์จะค้นพบวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้ก่อนที่เวนเกอร์จะทำได้
อย่างที่บอก ร็อดเจอรส์สมควรได้รับเครดิตทั้งหมดในการนำแผน 3-4-3 มาใช้ ทำให้ทีมกลับสู่เส้นทางการลุ้นติดท็อปโฟร์
แต่ตอนนี้ร็อดเจอรส์อาจจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอีกครั้ง เพื่อรักษาเส้นทางการลุ้นท็อปโฟร์ไว้ให้นานที่สุด
เพราะคงไม่มีเดอะค็อปคนไหนอยากได้ยินคำว่า 'ปีหน้าเราจะกลับมา' อีกแล้ว