"หยิบสิบ" เพลงเอกของ 10 วงโปรเกรสซีฟร็อค : ภาค 1 "The Garden of Eden"
เอามาจากหนังสือ Mojo ฉบับ Prog ที่ผมเคยลง 40 อัลบั้มโปรเกรสซีฟยอดเยี่ยมมาแล้ว
คราวนี้จะมาเน้นที่เพลงของแต่ละวงหลักๆ ซึ่งได้แก่ Genesis, Yes, King Crimson, ELP, Pink Floyd, Rush, Jethro Tull, Marillion, Van Der Graaf Generator และ Soft Machine ทั้งหมด 10 วงพอดี โดยจะเลือก 10 เพลงเอกของแต่ละวงมานำเสนอ รวมทั้งหมด 100 เพลงพอดี
สำหรับภาค 1 จะเป็น 10 เพลงเอกของวง Genesis ซึ่งใช้ชื่อว่า "สวนแห่งอีเดน" (The Garden of Eden)
1). The Musical Box - Nursey Cryme (1971)
เพลงแรกจากอัลบั้มที่สามของวง ซึ่งได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาแทน 2 คนคือ Steve Hackett และ Phill Collins ซึ่งแฟนของวงส่วนใหญ่ถือว่า นี่คือสมาชิกยุค "คลาสสิค" โดยแท้
หนังสือ Mojo บอกว่าเพลงนี้คือ "The Blueprint for the early Genesis sound, in which seemingly discreet units are combined to form a song" ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ด้วยความยาวของเพลงกว่า 10 นาที เพลง The Musical Box เริ่มต้นด้วยเสียงของอาคูสติคกีตาร์ 3 ตัวเล่นพร้อมๆกันโดย Tony Bank และ Mike Rutherford ร่วมกับ Steve Hackett ซึ่งคนที่เคยฟังชุดก่อนหน้านี้จะเห็นได้ชัดเลยว่า มันคือ สไตล์ที่ Anthony Phillips มือกีตาร์คนก่อนได้วางไว้เลย นั้นคือแนวออกโฟลค์นุ่มๆ แต่ที่แตกต่างคือ พอเล่นมาซัก 3 นาที ดนตรีเริ่มหนักขึ้นทุกที จนกระทั้งเสียงกีตาร์ของ Steve Hackett แผดแทรกขึ้นมา พร้อมกับการเล่นกลองที่หนักหน่วง ดั่งเป็นการประกาศว่านี้คือ Genesis ที่พร้อมจะลุยแล้ว ตลอด 6-7 นาทีที่เหลือ ก็เต็มไปด้วยการเล่ยบรรเลงอย่างเมามันส์ระหว่างกีตาร์และคีย์บอร์ด จนกระทั่งมาถึง climax ตอนท้ายในช่วงที่ Peter แหกปากร้องว่า "Touch me now !"
ว่ากันว่าในการแสดงสดของเพลงนี้ Peter Gabrieal มักจะหายตัวไปหลังเวทีเพื่อไปแต่งตัวใหม่ในช่วงท่อนบรรเลง โดยกลับออกมาหร้อมหน้ากาก "คนแก่" ในช่วงที่ร้องว่า Touch me now นั่นแหละ The Musical Box คือเพลงคลาสสิคเพลงแรกของวงอย่างไม่ต้องสงสัย
2). Super's Ready - Foxtrot (1972)
มหากาพย์ของวงโดยแท้ ด้วยความยาวกว่า 23 นาทีที่ประกอบด้วย 7 ภาคย่อยๆ เพลง Supper's Ready คือผลงานที่ทางวงภูมิใจนำเสนอท้าดวลกับมหากาพย์ของวงอื่นๆ อย่าง Close to the Edge ของ Yes หรือ Tarkus ของ ELP ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
หนังสือ Mojo บอกว่ามีการอ้างว่า เพลงนี้ได้รับอิทธิพลจากการที่ "ว่าที่" ภรรยาของ Peter ในขณะนั้น "ถูกผีเข้าสิง" !! จริงๆแล้วเนื้อหาของเพลงนี้ก้อค่อนข้างสับสนน่าดูเลย เพราะในภาคแรก (Lover's Leap) ของเพลงเป็นเรื่องธรรมดาๆของสามีภรรยาที่กำลังจะกินข้าวเย็นกัน แต่ถ้าอ่านไปดูในเนื้อหาของภาคสุดท้าย (As Sure as Eggs Is Eggs) ดันกลายเป็นเรื่องวันล้างโลก (Apocalypse) ไปซะ ซึ่งจริงๆแล้วภาคก่อนหน้านี้ก้อใช้ชื่อว่า Apocalypse in 9/8 ด้วย
โดยตัวดนตรีแล้ว เพลง Super's Ready ประกอบด้วยเพลงสั้นๆหลายๆเพลงที่ถูกนำมาต่อกันเป็นจนกลายเป็น Suite ไปนั้นเอง ซึ่งคนที่เคยฟังเพลงนี้ ต้องยอมรับว่าทางวงสามารถทำให้เพลงเหล่านี้ต่อกันเป็นเนื้อเดียวกันได้ลงตัวมากๆ อาจเป็นเพราะแต่ละเพลงสั้น มันเป็นเพลงที่ดีอยู่แล้วก้อได้ ภาคที่ประทับใจคือภาค Apocalypse in 9/8 นั่นเองที่ (ไอ้ตัวเลข 9/8 หมายถึง time signature ของเพลงครับ) แต่ไฮไลท์ของภาคนี้อยู่ที่การโซโลคีย์บอร์ดของ Tony Bank บนจังหวะการตีกลองของ Phil Collins ที่เข้ากันได้อย่างประหลาด
ในช่วงแสดงสด Peter มักจะสวมหน้ากากแบบที่เป็นเหลี่ยมๆ ดังในรูปข้างล่าง
แฟน Genesis หลายคนบอกว่า Supper's Ready คือ "The Defintive Genesis song" ในบางอารมณ์ผมเห็นด้วย
3). Firth Of Fifth - Selling England by The Pound (1973)
จากอัลบั้มที่หลายคนยกย่องว่าเป็นอัลบั้มมาสเตอร์พีซของวง Genesis เพลง Firth Of Fifth คือหนึ่งในเพลงเอกของวงอย่างถ่องแท้ ใน Mojo ถึงกับกล่าวว่า "A stately piano sets up one of Genesis's most powerful songs" แน่นอนอินโทรที่ว่านั้น เป็นการเล่นเปียนโนที่บ่งบอกถึง "ลายเซ็น" ของ Tony Banks อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ตัวเมโลดี้ที่สวยงาม
แต่เพลงนี้ไม่ใช่มีพระเอกคนเดียว การเล่นโซโล่ของ Steve Hackett ได้แสดงถึงความสามารถในการเล่นกีตาร์อันแสนจะไพเราะ โดยเฉพาะการใช้เทคนิคการหรี่เสียงโวลุ่มของกีตาร์ (volume pedal) ที่ผมว่ามันเพอร์เฟคจริงๆ บางคนถึงบอกว่า Steve คงไม่สามารถโซโลกีตาร์ได้ดีกว่าในเพลงนี้อีกแล้ว
แฟนโปรเกรสซีฟหลายๆคนยกย่องเพลงนี้ว่า หนึ่งในเพลงซิมโฟนิคโปรเกรสซีฟยอดเยียมตลอดกาลเลย ส่วนตัวผมเห็นด้วย 120 % โดยเฉพาะในเวอร์ชั่นแสดงสดในชุด Seconds Out ตอนที่ช่วงการดวลท่อนกลางของเพลงระหว่างคีย์บอร์ดและกีตาร์ ท่ามกลางการเล่นกลองและเบสที่ใส่กันอย่างสุดๆ แต่ดันยังส่งให้ในการเล่นโซโลได้เด่นอีกด้วย
ตามที่ Mojo บอกไว้ว่าเพลงนี้จบลงด้วยว่า "ending with Gabbriel intoning a quintessentially progrocking final couplet: 'The sands of time were eroded by the river of constant change.." มันยิ่งใหญ่ปานนั้นจริงๆครับ
4). I Know What I Like (In Your Wardrobe) - Selling England by The Pound (1973)
ถ้า Pink Floyd มี Money, Yes มี Roundabout แน่นอน Genesis ก้อมี I Know What I Like นั่นคือเซ็นส์ของการทำเพลงป็อบนั่นเอง Moko บอกว่านี้คือ "Proof that Genesis had always had in them to do arty pop singles" เพลงนี้ถูกตัดเป็นซิ้งเกิ้ล และกลายเป็นเพลงฮิตแรกของวงไปเลย
ซึ่งไม่ใช่แค่ทำนองที่ทำออกมาให้ติดหู ในเรื่องของเนื้อหาก้อเช่นกัน ซึ่ง Mojo กล่าวถึงเพลงนี้ว่า "a playful spoken intro, sureliatic sing-along chorus and almost Hole In My Shoe-like cosmic psychedelia" ว่ากันว่าการวางเพลงนี้ในอัลบั้ม ถูกวางไว้ระหว่างเพลง Dancing with the Moonlit Knight และ เพลง Firth of Fifth พอดี ซึ่งทั้ง 2 พลงนี้ถูกมองว่าเป็นเพลงซีเรียส เลยเอาเพลงเบาๆสนุกๆมาคั่นกลางว่างั้นเถอะ
ส่วนเนื้อหาของเพลงก้อเป็นไปตามรูปในหน้าปกยังไงยังงั้นเลย แม้ว่าความหมายไม่ได้มีอะไรมากมาย แถมออกบ๋องๆด้วย ท่อนที่ว่า "You can tell me by the way I walk" ได้ถูกนำไปใช้ต่อในเพลงในอัลบั้มหลังๆ
เพลงนี้เป็นเพลงที่แฟนชอบให้วงเล่นในการแสดงสดมาก แม้ว่าในแง่ของความเป็นโปรเกรสซีฟแล้ว อาจจะสู้เพลงอื่นๆไม่ได้ก้อตาม ทางวงมักจะเล่นแล้วให้แฟนๆร้องตามในท่อน "I know what I like/And I like what I know"
5). Carpet Crawl - The Lamb Lies Down On Broadway (1974)
จากอัลบั้มสุดท้ายที่ Peter อยู่ด้วย และเป็นอัลบั้มที่แฟนพันธ์แท้ของวงนี้บอกว่า เป็นสิ่งที่ทางวงได้ไปถึงจุดสูงสุดของการทำงานศิลปะแล้ว แม้ว่าจะมีหลายคนค่อนขอดว่า น่าเป็นอัลบั้มส่วนตัวของ Peter มากกว่าเพราะแกมีบทบาทมากในการทำอัลบั้มชุดนี้ ตั้งแต่การวางคอนเซ็ปท์ของเนื้อหาเลย
ส่วนตัวผมคิดว่า การเลือกเพลงเดียวจากอัลบั้ม The Lamb น่าจะปวดหัวพอควร เนื่องจากอัลบั้มชุดนี้เป็นคอนเซ็ปอัลบั้มที่มีหลายเพลงที่เด่นๆ แต่ Mojo ก้อเลือกเพลงCarpet Crawl โดยมองว่าเป็นเพลงอำลา โดยบอกว่านี่คือ "A perfect epitaph for the Gabriel era; "
โดยเนื้อหาแล้วคงต้องมองทั้งอัลบั้ม เพราะจะสัมพันธ์กันไปหมด โดยเนื้อหาย่อๆของเพลงเป็นไปตามนี้ "As Rael comes out of his daydreaming, he finds himself in a carpeted corridor where kneeling people slowly move towards a spiral staircase leading to a big wooden door. One of the Carpet Crawlers explains that going into the next chamber is the only way out." ใครำด้ดูมิวสิควิดิโอของเพลงนี้ คงมองภาพออกเพราะเป็นการแสดงตามนั้นเลย
ในแง่ของดนตรี ผมชอบมากเลย ในหนังสือ Mojo ก้อว่าไว้เช่นกัน ("unwinds with a pristine keyboard trill into one of the most beatiful melodies") โดยเฉพาะเสียงคีย์บอร์ดของ Tony Banks ทำได้เยี่ยมมากๆ เหมือนสายน้ำไหลยังไงยังงั้นเลย ในเวอร์ชั้นแสดงสด Steve Hacketts จะเล่นกีตาร์คลอไปด้วย เหมือนกับคลานได้จริงๆเลย
ในการแสดงสดของชุดนี้ Peter จะทำผมสั้นๆตามตัวละคร Rael เลย ออกแนวพังค์ๆหน่อย